Most Popular
แชร์จากผู้ฝึกสอนนักกีฬาชาวญี่ปุ่น! เวลาไหนที่ไม่ควรออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำนั้นส่งผลดีต่อสุขภาพกาย ทั้งช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยในการลดน้ำหนัก อย่างไรก็ดี การออกกำลังกายตามเวลาที่เหมาะสมนั้นจะให้ผลดีต่อสุขภาพมากกว่า มารู้ว่าเวลาไหนที่ออกกำลังกายแล้วส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และเวลาไหนที่ออกกำลังกายแล้วช่วยเพิ่มประสิทธิผลต่อสุขภาพกายและการลดน้ำหนักจากคำแนะนำของผู้ฝึกสอนนักกีฬาชาวญี่ปุ่นกันค่ะ เวลาไหนที่ไม่ควรออกกำลังกาย 1. ภายใน 30 นาทีหลังมื้ออาหาร โดยทั่วไปหลังจากรับประทานอาหาร เลือดมักจะไหลมารวมกันที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารอาหารเข้าสู่ร่างกาย การออกกำลังกายทันทีหลังจากรับประทานอาหารจะทำให้เลือดถูกส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทนระบบทางเดินอาหาร ทำให้จุก อาหารไม่ย่อย และร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งยังอาจทำให้คลื่นไส้และอาเจียนได้ด้วย 2. ตอนที่หิวมาก ตอนที่หิวมากเป็นช่วงที่น้ำตาลในเลือดต่ำและร่างกายขาดพลังงาน การออกกำลังกายตอนนี้อาจทำให้บางคนเวียนหัวหรือเสียสมาธิและได้รับบาดเจ็บได้ แม้ว่าการออกกำลังกายในตอนเช้าเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรรับประทานอาหารก่อนเล็กน้อย เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ หรือผลไม้อย่างกล้วยหรือแอปเปิ้ล เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการดังกล่าว 3. ก่อนเข้านอน การออกกำลังกายก่อนเข้านอนจะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติส่วนซิมพาเทติกทำให้นอนหลับยากขึ้น อย่างไรก็ดี การยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนนอนจะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติส่วนพาราซิมพาเทติกที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายทำงานดีขึ้น ซึ่งทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น สิ่งที่ไม่ควรทำทันทีหลังจากออกกำลังกาย หลังออกกำลังกายร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดี ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เร็ว นอกจากนี้ การออกกำลังกายทำให้รู้สึกสดชื่นและเหนื่อยซึ่งทำให้ผู้ออกกำลังกายอยากอาหาร แต่การรับประทานอาหารทันทีหลังจากออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากสภาวะที่เผาผลาญพลังงานไปเป็นการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลด้านลบต่อการลดน้ำหนัก ดังนั้นหากออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักควรเลือกเวลารับประทานอาหารหลังจากออกกำลังกายแล้วอย่างน้อย 30 นาที เวลาที่ดีในการออกกำลังกาย เวลาที่ดีในการออกกำลังกายคือ “ตอนเช้า” ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองและส่งผลในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นพื้นฐาน อีกทั้งยังทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและเสริมให้เลือดไหลเวียนดี อย่างไรก็ดี คนส่วนใหญ่มักจะงัวเงียในตอนเช้า ก่อนออกกำลังกายให้รับประทานอาหารเบาๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและป้องกันอาการหน้ามืดจากการที่ร่างกายขาดพลังงาน ทั้งนี้หากไม่มีเวลาออกกำลังกายตอนเช้าก็สามารถเดินออกกำลังกายไปทำธุระในที่ต่างๆ ตอนเวลากลางวันแทนก็ได้ หากต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้ลองเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน หากไม่มีเวลาว่างจริงๆ แค่เดินให้มากขึ้นก็ถือเป็นวิธีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ดี ทั้งนี้ก็ลองปรับไลฟ์สไตล์ไปพร้อมๆ กับพยายามหาเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงกันค่ะ สรุปเนื้อหาจาก allabout ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: 10 ที่พักสไตล์ Art Hotel นอนสบายถ่ายรูปสวย เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แนะนำ 9 คาเฟ่ในเอบิสุ ย่านชิค ๆ สำหรับสายอาร์ตที่รักความสงบ (ตอนที่ 1) 7 คาเฟ่แนะนำ หนีโควิด-19 […]
5 วิธีหยุดทานขนมหวานโดยไม่ทำให้รู้สึกเครียด
แม้ว่าขนมหวานเป็นอาหารที่ทำให้คนมีความสุข แต่ในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก การรับประทานของหวานจะกลายเป็นศัตรูสำคัญของการลดน้ำหนัก มารู้วิธีหยุดทานขนมหวานในช่วงที่กำลังลดน้ำหนักโดยไม่ทำให้คนหลงรักขนมหวานรู้สึกเครียดจากคำแนะของคนญี่ปุ่นกันค่ะ ขนมหวานที่มีปริมาณแคลอรี่สูงเป็นอาหารที่ทำให้อ้วนได้ง่าย ดังนั้นเมื่อเริ่มตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักคนส่วนใหญ่มักคิดหยุดทานขนมหวานเป็นอันดับแรก จะเลิกทานขนมหวานได้หรือไม่นั้นไม่เกี่ยวว่ามีจิตใจเข้มแข็งหรืออ่อนแอ แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์ที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ทำให้รู้สึกเครียด ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้ 1. รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ การรับประทานทานขนมหวานเยอะมีสาเหตุมาจากความหิวเพราะทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือไม่รับประทานอาหารบางมื้อ การรับประทานอาหารวันละสามมื้อในเวลาที่ห่างกันอย่างเหมาะสมจะทำให้รู้สึกอิ่มและรับประทานของหวานน้อยลง 2. ไม่รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว หากงานยุ่งหรืออาศัยอยู่ตามลำพังก็มีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารง่ายๆ ที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมปัง 2 ชิ้นเป็นอาหารมื้อเข้า สปาเก็ตตี้หรือราเม็งเป็นอาหารมื้อเที่ยง และข้าวหน้าเนื้อเป็นอาหารมื้อเย็น เป็นต้น การรับประทานอาหารที่มีแป้งสูงจะทำให้รู้สึกหิวเร็วแม้ว่ารับประทานเข้าไปในปริมาณมาก แทนการรับประทานอาหารจานเดียวที่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตสูง ให้ลองเพิ่มผัก โปรตีน และซุปลงไปในมื้ออาหาร ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มนานจนไม่นึกอยากกินขนมหวาน 3. อย่าจำกัดปริมาณอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต คนจำนวนมากจำกัดปริมาณแป้งเพื่อลดน้ำหนัก แต่การจำกัดและลดปริมาณอาหารประเภทแป้งมากเกินไปจะทำให้รู้สึกอยากรับประทานของหวานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานที่มีปริมาณพลังงานสูง เช่น ช็อกโกแลต ขนมอบ และเค้ก เป็นต้น เหตุผลที่ทำให้อยากรับประทานของหวานมากขึ้นเพราะว่าร่างกายจะส่งสัญญาณการขาดพลังงานไปยังสมอง ทำให้สมองสั่งการให้ร่างกายหาของหวานมาทดแทนพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่สามารถหยุดรับประทานของหวานได้ สิ่งแรกที่ควรทำคือให้รับประทานอาหารมื้อหลักที่มีอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวและเมล็ดธัญพืช เป็นต้น จนรู้สึกว่าอิ่มอย่างพึงใจ ซึ่งจะส่งผลให้อยากรับประทานขนมหวานน้อยลง 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตอนที่ออกกำลังกายระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นชั่วคราวและทำให้ความรู้สึกหิวหายไป ในขณะเดียวกันการออกกำลังกายจะช่วยบรรเทาความเครียดและความเหนื่อยล้าทางกายจึงช่วยป้องกันความรู้สึกอยากรับประทานขนมหวานที่มีสาเหตุมาจากความเครียดได้ดี มีคนจำนวนมากสามารถหยุดรับประทานขนมหวานได้จากการหมั่นออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการวิ่งหรือการออกกำลังกายหนักๆ แค่เดินให้มากกว่าปกติก็สามารถช่วยลดความอยากรับประทานขนมหวานได้ 5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนดึกเป็นประจำจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนและส่งผลให้รู้สึกมีความอยากกินอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การนอนดึกจะทำให้รู้สึกหิวและทำให้รับประทานอาหารว่างรวมถึงขนมหวานได้ง่ายขึ้น ดังนั้นลองพยายามปรับเวลานอนให้เร็วขึ้นเพื่อให้นอนหลับได้สนิทและช่วยป้องกันไม่ให้รู้สึกอยากรับประทานขนมหวานได้ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์ไปพร้อมกับค่อยๆ ลดปริมาณขนมหวานเป็นวิธีการที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้ดีกว่าการตัดขาดจากขนมหวานแบบหักดิบจนทำให้เกิดความเครียดแล้วหันกลับมารับประทานขนมหวานเยอะขึ้นกว่าเดิม ลองใช้วิธีข้างต้นในการลดขนมหวานในขณะที่กำลังลดน้ำหนักดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก allabout ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: สุขนิสัยเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงตามคำแนะนำของคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นบอกต่อ! ไข่ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ก็มีคุณค่าอาหารไม่ต่างกัน 10 ที่พักสไตล์ Art Hotel นอนสบายถ่ายรูปสวย เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ […]
มาถึงถิ่นไม่ซื้อได้ไง! แนะนำของฝากซิกเนเจอร์แสนอร่อยจากย่านอาซากุสะ
อาซากุสะถือเป็นย่านยอดฮิตที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ มีอาหาร ขนม ของกิน ของฝากจำหน่ายเยอะแยะมากมายจนเลือกไม่ถูก งั้นวันนี้เราไปดูกันว่าของฝากที่จัดว่าเป็นของซิกเนเจอร์ในย่านนี้จะมีอะไรน่าโดนบ้าง รับรองว่าไปญี่ปุ่นรอบหน้าต้องได้ของดีติดไม้ติดมือกลับมาแน่นอน! ขนม Kaminari Okoshi (雷おこし) View this post on Instagram A post shared by Tokiwado-Kaminari_Okoshi (@tokiwado_kaminari_okoshi) ร้าน Tokiwado Kaminari Okoshi Honpo (常盤堂雷おこし本舗) ตั้งอยู่ติดกับประตูคามินาริในวัดอาซากุสะ เป็นร้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งเมื่อประมาณ 250 ปีที่แล้วในช่วงปลายสมัยเอโดะ ปัจจุบันยังคงรักษารสชาติแบบดั้งเดิมของขนมคามินาริโอโคชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในขนมที่เป็นตัวแทนของโตเกียว ด้วยส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีและเทคนิคการทำเฉพาะตัว แต่เดิมจัดเป็นขนมมงคลที่สื่อถึงการพัฒนา, การก่อตั้ง, ก่อให้เกิด ได้ชื่อตามประตูคามินาริมง สินค้าเด่นของร้านนี้คือ Kaminari Rokusen เป็นเซ็ตรวมขนมคามินาริโอโคชิถึง 6 แบบให้ได้อร่อยกันครบทุกรสชาติในกล่องเดียว ซึ่งจะมีทั้ง Jyouisobe Okoshi 3 รสชาติ คือ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง และมัทฉะ, Aji Roppo โอโคชิหลากสี, Churara โอโคชิแบบนุ่ม หวานเบา ๆ 2 รสชาติคือ Milk Penuts และ Caramel Almond 1 กล่องราคา 1,080 เยน เก็บได้ 90 วันนับจากวันที่ผลิต เว็บไซต์ : tokiwado.tokyo ขนม Imo […]
เยียวยาความหนาวด้วยดอกโรไบ ดอกไม้น่ารักขวัญใจคนญี่ปุ่น
ในช่วงกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บที่มองไปข้างทางก็มองเห็นต้นไม้ไร้ใบสีเทาน้ำตาล สีเหลืองสว่างของดอกไม้น่ารักที่บานในช่วงนี้ช่วยเยียวยาความรู้สึกหม่นหมองจากอากาศและความหนาวเย็นได้ดี มารู้จักดอกโรไบดอกไม้สีเหลืองน่ารักขวัญใจของคนญี่ปุ่นกันค่ะ รู้จักดอกโรไบ (蝋梅, ロウバイ) โรไบหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Wintersweet และ Japanese allspice เป็นไม้ยืนต้นที่นำเข้ามาจากจีนตั้งแต่สมัยเอโดะ ต้นไม้ชนิดนี้บานดอกในช่วงกลางฤดูหนาวที่ยังไม่มีดอกไม้อื่นบานในช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกโรไบเป็นดอกไม้ขนาดเล็กมีสีเหลืองรูปทรงคล้ายถ้วย มีกลีบบอบบางคล้ายเคลือบด้วยแว็กซ์และมีกลิ่นหอมละมุนมาก ในประเทศจีนดอกไม้ชนิดนี้เป็นหนึ่งในสี่ดอกไม้ในภาพวาดที่มีชื่อว่ามิตรภาพในหิมะได้แก่ ดอกบ๊วย ดอกแดฟโฟดิล ดอกคามิเลียและดอกโรไบ ด้วยความหอมละมุนบวกกับสีเหลืองสวยงามบ่งบอกให้รู้ว่าความหนาวเย็นใกล้จะหมดไปและความอบอุ่นจะเข้ามาแทนที่ ความหมายของดอกโรไบคือ ความดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเคารพ และการมองการณ์ไกล ซึ่งมีที่มาจากการที่ดอกไม้โรไบบานก่อนในขณะที่ดอกไม้ชนิดอื่นยังไม่บานนั่นเอง ชนิดพันธุ์ของดอกโรไบ ดอกโรไบมีหลากหลายพันธุ์ ลักษณะพื้นฐานของดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้ขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายถ้วยแต่มีความแตกต่างกันที่สีตรงตำแหน่งกลางดอก โดยมีพันธุ์ต่างๆ ดังนี้ โซชินโรไบ (ソシンロウバイ, Japanese allspice) ดอกโรไบพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่คนญี่ปุ่นนิยมปลูกกันมาก มักปลูกไว้ประดับสวนหน้าบ้านและสวนสาธารณะ ดอกมีขนาดเล็กลักษณะกลมคล้ายถ้วยมีสีเหลืองสดใสทั่วทั้งดอก มังเกตสึโรไบ (マンゲツロウバイ, Full moon Japanese allspice) ดอกไม้พันธุ์นี้มีกลีบดอกกลม มีสีเข้มกว่าพันธุ์โซชินโรไบเล็กน้อย และมีสีออกม่วงแดงที่ตำแหน่งกลางดอก โรไบพันธุ์นี้จะบานดอกเร็วกว่าพันธุ์โซชินโรไบเล็กน้อย คุโรบานะโรไบ (クロバナロウバイ, Carolina allspice) ดอกไม้พันธุ์นี้เป็นไม้พุ่มผลัดใบขนาดกะทัดรัดมีต้นกำเนิดจากอเมริกาเหนือ ในญี่ปุ่นดอกโรไบพันธุ์นี้บานดอกในช่วงต้นฤดูร้อน ดอกมีสีช็อกโกแลต มีกลิ่นหอมละมุนแต่หอมน้อยกว่าพันธุ์โซชินโรไบและมังเกตสึโรไบ ดอกโรไบเป็นดอกไม้ขนาดเล็กที่มีสีสันสร้างความมีชีวิตชีวาและมีกลิ่นหอมละมุนเป็นเอกลักษณ์ นอกจากปลูกไว้ที่สวนหน้าบ้านและสวนสาธารณะแล้ว คนญี่ปุ่นยังนิยมเลี้ยงต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นบอนไซด้วย นอกจากนี้ ในช่วงฤดูหนาวสามารถหาซื้อกิ่งของดอกไม้ชนิดนี้ได้ตามร้านขายดอกไม้เพื่อนำมาใส่แจกันประดับบ้านสร้างความสดชื่นในช่วงที่หนาวเหน็บได้ดีค่ะ สรุปเนื้อหาจาก gardenstory ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: เซเลอร์มูนกลับมาแล้ว!! แฟนๆ เตรียมพบกับ Sailor Moon Eternal ในโรงภาพยนตร์ ใครๆ ก็ใส่ได้! ชุดแต่งงานเซเลอร์มูนที่ใฝ่ฝันพร้อมเสิร์ฟแล้ว! อันดับ 1 คือสาวน้อยคนนี้?! มาดูอันดับตัวละครในเซเลอร์มูนที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบมากที่สุดกัน ไม่มีรถใครว่าเที่ยวไม่ได้? รวมวิธีเที่ยวโอกินาว่าสนุกๆสำหรับคนไม่อยากเช่ารถขับเอง
วิธีการป้องกันและขจัดขุยออกจากเสื้อผ้าตัวโปรด
อีกหนึ่งปัญหาของเสื้อผ้าที่คนส่วนใหญ่มักเจอคือ เสื้อผ้าเป็นขุยซึ่งทำให้เสื้อผ้าตัวโปรดดูเก่าจนไม่กล้าใส่ออกไปข้างนอก มารู้สาเหตุที่เสื้อผ้าเป็นขุย วิธีการป้องกัน และวิธีขจัดขุยผ้าออกจากเสื้อผ้าตามคำแนะนำของคนญี่ปุ่นกันค่ะ สาเหตุที่เสื้อผ้าเป็นขุย ขุยผ้าเกิดจากการที่พื้นผิวของผ้าเสียดสีกันในขณะที่สวมใส่หรือซัก ทำให้เส้นใยที่เป็นฝอยพันเข้าด้วยกันและทำให้มีลักษณะเป็นกลมคล้ายลูกบอลขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่คนจำนวนมากคิดว่าเสื้อสเวตเตอร์และเสื้อถักไหมพรมมักจะเป็นขุยได้ง่าย แต่จริงๆ แล้วเสื้อผ้าชนิดอื่น เช่น เสื้อสเวตเชิ้ตและเสื้อฮู้ดต่างๆ ก็เป็นขุยได้ง่ายเช่นกันซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการที่สวมใส่ วิธีการป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเป็นขุยได้ง่าย 1. หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าซ้อนทับกัน เมื่อใส่เสื้อผ้าซ้อนทับกันจะทำให้เสื้อผ้าเสียดสีกันเอง ซึ่งทำให้เกิดขุยและเม็ดกลมได้ง่ายขึ้น หากใครต้องทำงานอยู่ในห้องแอร์ หรืออาศัยอยู่ในเมืองหนาวก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าซ้อนทับกันได้เพราะอากาศหนาวจนต้องใส่เสื้อกันหนาวหลายชั้นและสวมใส่เสื้อโค้ททับอีกที เพื่อป้องกันการเกิดขุยบนเสื้อตัวในจึงควรเลือกเสื้อโค้ทที่หลวมสวมทับเสื้อสเวตเตอร์ตัวโปรดแทนการใส่เสื้อสวมทับที่รัดรูป 2. ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหลังจากการซักเสื้อจะช่วยลดไฟฟ้าสถิตได้ดีจึงช่วยลดปัญหาการเกิดขุยบนเสื้อผ้าได้ 3. ซักผ้าด้วยมือหรือใช้ตาข่ายซักผ้าเมื่อซักด้วยเครื่อง หากวัสดุที่ใช้ทำเสื้อมีแนวโน้มที่จะเป็นขุยได้ง่ายก็ควรซักด้วยมือ แต่หากไม่มีเวลาก็ให้กลับตะเข็บเอาด้านในเสื้อออกมา นำใส่ในถุงตาข่ายสำหรับซักผ้า ใช้น้ำยาซักผ้าที่ถนอมผ้า ซักผ้าด้วยโหมดถนอมใยผ้าเพื่อลดเวลาในการซักและลดการเสียดสีไปในตัว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการอบผ้าซึ่งสร้างความเสียดสีและทำให้ผ้าเสียหายได้ง่าย วิธีการขจัดขุยและเม็ดกลมบนเสื้อผ้า แม้ว่าจะดูแลและระวังอย่างดีแล้วแต่ปัญหาเสื้อผ้าเป็นขุยก็ยังเกิดขึ้น สามารถขจัดขุยและเม็ดกลมบนเสื้อผ้าออกได้ ดังนี้ 1. ใช้กรรไกรตัดขุยผ้า สามารถแก้ปัญหาเสื้อเป็นขุยได้ง่ายๆ ด้วยกรรไกรคมและมีใบมีดบาง อย่างไรก็ดี การใช้กรรไกรอาจต้องเสียเวลานิดหน่อยเพราะต้องตัดด้วยความระมัดระวังทีละหนึ่งขุยผ้า 2. ใช้มีดโกนหนวดหรือขน วิธีการนี้ทำได้ง่ายและเร็วเพียงวางเสื้อผ้าให้ราบเสมอไปกับพื้นผิว ดึงบริเวณที่เป็นขุยให้ตึงแล้วใช้มีดโกนหนวดโกนออกเหมือนกับตอนโกนหนวด ข้อควรระวังคืออย่าใช้มีดโกนที่ทู่เพราะจะทำให้ขูดและทำลายเนื้อผ้าได้ อีกทั้งอย่าให้ใบมีดขูดติดกับเนื้อผ้ามากเกินไปเพราะอาจทำให้เสื้อผ้าเสียหายได้ 3. ใช้เครื่องกำจัดขุย วิธีการใช้เครื่องกำจัดขุยผ้าเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่ทำลายเนื้อผ้า เพียงนำเครื่องถูวนไปมาให้ทั่วจนกว่าขุยผ้าจะหลุดออกหมด และขุยผ้าที่หลุดออกจะถูกเก็บไว้ในถาดรองทำให้สามารถถอดออกเททิ้งได้ง่าย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับเนื้อผ้าก็อย่าออกแรงกดเครื่องกำจัดขุยผ้ามากเกินไป ในเมืองไทยเครื่องกำจัดขุยผ้าอาจมีราคาแพงแต่ในญี่ปุ่นสามารถหาซื้อเครื่องกำจัดขุยผ้าในราคาร้อยเยนจากร้านไดโซได้ สำหรับเสื้อผ้าชิ้นโปรดที่อยากเก็บถนอมไว้ใส่นานๆ ก็ลองใช้วิธีการป้องกันการเกิดขุยดังข้างต้นดูค่ะ แต่หากมีขุยเกิดขึ้นก็ให้ใช้วิธีการกำจัดขุยได้ตามความสะดวกและความชอบ เพื่อจะทำให้เสื้อผ้าตัวโปรดดูใหม่ไปอีกนาน การดูแลเสื้อผ้าให้ใช้งานได้นานนอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแล้วก็ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ สรุปเนื้อหาจาก excite ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: MUJI เปิดตัว “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์” โมเดลโรดไซด์สาขาแรกในเมืองไทย 10 ที่พักสไตล์ Art Hotel นอนสบายถ่ายรูปสวย เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ […]
เคล็ดลับจีบสาวให้ติด! 5 อันดับสถานที่ออกเดตที่สาวญี่ปุ่นชื่นชอบ
ชายหนุ่มญี่ปุ่นจำนวนมากอยากรู้ว่าสถานที่ใดที่จะทำให้สาวที่ออกเดตด้วยชอบและประทับใจจนอยากเดตด้วยกันอีก หลายรอบ มารู้ 5 อันดับสถานที่ออกเดตในญี่ปุ่นที่หลายคนลงความเห็นว่าจะทำให้คู่เดตที่เป็นผู้หญิงชื่นชอบและช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้นกันค่ะ อันดับที่ 5 สวนสนุก สวนสนุกเป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบเพราะเหมือนได้กลับไปสู่ความเป็นเด็กที่สามารถสนุกสุดเหวี่ยงไปด้วยกันอย่างเต็มที่กับการเล่นเครื่องเล่น การเพลิดเพลินไปกับสถานที่ตกแต่งแปลกตา ขบวนพาเหรด และการแสดงที่น่าสนใจ รวมถึงการหาจุดถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ควรระวังเมื่อชวนสาวที่ตนเองชื่นชอบไปเดตที่สวนสนุกคือ ฝ่ายหญิงอาจจะใช้เวลาเข้าห้องน้ำนานเพื่อเติมแต่งเครื่องสำอางที่เลอะหรือผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงจากการเล่นเครื่องเล่น คุณผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจหัวอกของผู้หญิงที่รักสวยรักงามดังนั้นต้องรอด้วยความอดทนและไม่แสดงความหงุดหงิดใส่เมื่อสาวที่ตนชื่นชอบเข้าห้องน้ำนาน อันดับที่ 4 โรงภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์เป็นสถานที่มาตรฐานสำหรับการออกเดตที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่เนื่องจากไม่จำเป็นต้องหาเรื่องมาพูดคุยกันมาก และไม่รู้สึกอึดอัดหากไม่มีเรื่องพูดคุยกัน เพียงแค่ถามความคิดเห็นซึ่งกันและกันว่าชอบหนังแบบไหน แล้วเลือกหนังที่มีความชอบตรงกัน ก็ทำให้กลายเป็นเดตที่สนุกตื่นเต้นได้ อย่างไรก็ดี มีข้อควรระวังคือ หากเป็นการเดตครั้งแรกไม่ควรจับมือฝ่ายหญิงในขณะที่ดูหนัง รอให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นอีกนิดหรือบอกรักกันก่อนแล้วจึงค่อยทำ เพราะหากรีบร้อนเกินไปอาจจะทำให้สาวเจ้าตกใจล่าถอยออกห่างได้ อันดับที่ 3 ขับรถชมวิว การขับรถชมวิวเป็นการออกเดตที่สาวๆ ชื่นชอบและรู้สึกตื่นเต้น แนะนำให้ขับรถไปรับจากที่พักและพาไปสถานที่สวยงามที่มีอากาศปลอดโปร่ง เช่น ทะเลหรือเนินเขา การขับรถชมวิวเป็นวิธีดึงดูดความสนใจจากสาวที่ตนเองชอบได้ดี แต่เนื่องจากต้องนั่งอยู่ในรถด้วยกันตลอดเวลาการเดต ก็ให้ระวังอย่าแสดงความหงุดหงิดเกี่ยวกับสัญญาณไฟจราจรและรถคันอื่น พยายามร่าเริงแจ่มใสและอารมณ์ดีตลอดเวลาที่อยู่ในรถเพื่อให้เพื่อนร่วมทางรู้สึกสนุกและประทับใจจนอยากออกเดตด้วยกันอีก อันดับที่ 2 พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนสวนสัตว์และเป็นสถานที่เดตยอดนิยมที่หนุ่มสาวญี่ปุ่นสามารถดื่มด่ำไปกับอารมณ์โรแมนติก เพลิดเพลินไปกับการยืนชมปลาจากเขตร้อนแหวกว่ายไปมาด้วยกัน และการชมการแสดงของปลาโลมา อันดับที่ 1 ชมดอกไม้ไฟและไฟประดับตามฤดูกาล กิจกรรมตามฤดูกาล เช่น การชมดอกไม้ไฟและไฟประดับเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินในช่วงเวลาที่จำกัด จากมุมมองของผู้หญิงญี่ปุ่นการได้ไปดูดอกไม้ไฟในช่วงฤดูร้อนและชมไฟประดับในช่วงวันคริสต์มาสกับคนรักถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้พวกเธอตื่นเต้นและช่วยให้อยากแต่งตัวพิถีพิถันเพื่อออกเดต การได้รับคำชมจากชายคนที่ชอบว่าสวยน่ารักก็จะทำให้พวกเธออารมณ์ดีสุดๆ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่คุณผู้ชายควรใส่ใจคือการศึกษาหาตำแหน่งที่จะชมดอกไม้ไฟและไฟประดับได้อย่างสวยงามน่าประทับใจสมกับความคาดหวังของสาวคู่เดต หากกำลังเริ่มต้นคบหากับสาวที่ชอบ ลองชวนไปเดตตามสถานที่ที่คนญี่ปุ่นนิยมดูค่ะ ทั้งนี้เวลาที่อยู่ด้วยกันก็ต้องใส่ใจ ให้เกียรติและเข้าใจในลักษณะนิสัยของคู่เดต รวมถึงมีความร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอต้นเสมอปลาย จะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นค่ะ สรุปเนื้อหาจาก allabout ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: อาชีพในฝันของเด็กญี่ปุ่น และอาชีพที่ผู้ปกครองคาดหวัง ประจำปี 2021 รีวิวจุใจกว่า 39 ชิ้น: เครื่องสำอางยอดนิยมในญี่ปุ่น ครึ่งปีแรก 2019 ผลสำรวจคนญี่ปุ่น “หากสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ คุณอยากทำอาชีพอะไร […]
ฟังคำตอบจากเภสัชกรญี่ปุ่น! เครื่องดื่มอะไรที่ไม่ควรดื่มพร้อมกับยา
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะทราบดีว่าควรดื่มน้ำพร้อมกับยา แต่บางครั้งในช่วงที่เร่งรีบคนจำนวนไม่น้อยก็รับประทานยาพร้อมกับเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาและน้ำผลไม้ เป็นต้น มารู้กันว่าเครื่องดื่มอะไรบ้างที่ไม่ควรดื่มพร้อมกับยาจากคุณ Kayoko Oguro เภสัชกรชาวญี่ปุ่นกันค่ะ ชาที่มีปริมาณแทนนินและคาเฟอีนสูง การดื่มชาพร้อมกับยาไม่ได้เป็นข้อห้ามสำหรับยาทุกชนิด ยกเว้นยาที่ใช้รักษาโรคบางชนิด เช่น ธาตุเหล็กสำหรับผู้ป่วยโรคโลหิตจาง เพราะสารแทนนินที่มีมากในชาจะไปจับกับธาตุเหล็ก ทำให้ผนังลำไส้เล็กดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ยาก นอกจากนี้ ในยาหลายชนิด เช่น ยารักษาโรคหืดหอบและยาแก้หวัดจะมีส่วนประกอบของคาเฟอีนในปริมาณสูงเพื่อช่วยให้สมองปลอดโปร่งและทำให้ร่างกายสดชื่น หากดื่มชาที่มีคาเฟอีนสูงพร้อมกับยาเหล่านี้จะทำให้ร่างกายรับปริมาณคาเฟอีนที่สูงเกินขนาดและอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ใจสั่น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ตื่นเต้น นอนไม่หลับ คลื่นไส้ และเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้ ไม่ควรดื่มชาร่วมกับยานอนหลับและยากล่อมประสาท เพราะคาเฟอีนที่มีมากในชาจะไปลดประสิทธิภาพของยา หากต้องการดื่มชาพร้อมกับยาก็ควรเลือกชาที่ไม่มีคาเฟอีนหรือมีคาเฟอีนต่ำ น้ำเกรปฟรุต สารประกอบในน้ำเกรปฟรุตจะไปยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในตับที่ทำหน้าที่เผาผลาญหรือเปลี่ยนรูปของยาเพื่อขจัดยาออกจากร่างกาย ส่งผลให้ความเข้มข้นของยาในเลือดเข้มข้นขึ้นและทำให้ยาสะสมกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้ ยาที่ไม่ควรรับประทานพร้อมกับดื่มน้ำเกรปฟรุต ได้แก่ ยาลดความดันโลหิต ยาลดคอเลสเตอรอล และยาปฏิชีวนะ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การรับประทานเกรปฟรุตในปริมาณน้อยอาจไม่มีผลต่อการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เผาผลาญยาดังกล่าว นม หากดื่มนมพร้อมกับยาปฏิชีวนะ แคลเซียมที่มีมากในนมจะไปจับกับส่วนผสมของยาทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ยากและทำให้ลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มพร้อมกับยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาแก้ไข้ ยาแก้อักเสบ และยาระงับปวด เป็นต้น การรับประทานยาเหล่านี้พร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลที่เป็นอันตรายและส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจไม่คาดคิดก็ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับยาเลยดีที่สุด เครื่องดื่มโซดา เครื่องดื่มโซดาจะกระตุ้นให้มีการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ยาที่อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ถูกขับออกจากร่างกายก่อนถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านผนังลำไส้เล็ก ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลง แม้ว่าจะสามารถดื่มเครื่องดื่มบางอย่างกับยาได้ แต่เพื่อให้ยาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย น้ำและน้ำอุ่นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ สรุปเนื้อหาจาก news.yahoo ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: 10 ที่พักสไตล์ Art Hotel นอนสบายถ่ายรูปสวย เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ วิธีป้องกันและรักษาแผลร้อนในที่คนญี่ปุ่นแนะนำ บ๊ายบายอาการเมาค้างด้วย “โพคารี่สเวท” เครื่องดื่มสุดอะเมซิ่งจากญี่ปุ่น! อาหารที่คนญี่ปุ่นบอกว่าหากรับประทานมากและบ่อยจะไม่ดีต่อสุขภาพ
หมดปัญหา “ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?” แนะนำสินค้าควรตำเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น!
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง ทั้งของกิน ของใช้ หรือของไม่ใช้ก็ซื้อ 55555 จริง ๆ แล้วในปัจจุบันก็มีสินค้ามากมายหลายประเภทที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในไทย แต่สินค้าบางอย่างอาจจะไม่ได้มีจำหน่ายนอกญี่ปุ่น (หรือซื้อที่ญี่ปุ่นแล้วราคาดีกว่า) วันนี้เราก็จะมาแนะนำสินค้าที่ควรซื้อเมื่อไปถึงแดนอาทิตย์อุทัย รวบรวมมาให้ทั้งของกินและของใช้ ใครจะไปเที่ยว จดลงลิสต์ไว้เลย! ของกิน ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย とりちゃん (@torityan___) เมื่อไปเที่ยวต่างประเทศ แน่นอนว่าของที่พลาดไม่ได้เลยก็คือของกิน! เพราะต่างทางวัฒนธรรมทำให้อาหารแต่ละประเทศแตกต่างกัน การได้ลิ้มรสรสชาติใหม่ ๆ ก็คงเป็นอะไรที่เพลินปากเพลินใจสำหรับใครหลายคน จึงขอมาแนะนำของกินที่น่าซื้อกลับ พกพาง่าย และทำได้สะดวกไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะมาฝากกันค่ะ 1. ฟุริคาเคะ, โอฉะสึเกะ ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย \\ 日本探検♡// お母さんの旅記録 (@mi_studye) ฟุริคาเคะหรือผงโรยข้าวเป็นของกินยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อกลับ ห่อเล็ก พกพาสะดวก มีหลากหลายรสชาติ วิธีทำก็ง่ายมาก เพียงแค่เทผสมกับข้าวก็ทานได้ง่าย ๆ หรือจะนำไปทำข้าวปั้นโอนิกิริก็ช่วยเพิ่มรสชาติได้ดี หรือจะเป็นโอฉะสึเกะที่เพียงแค่เทผสมกับข้าวแล้วเติมน้ำลงไป ก็จะได้ข้าวในน้ำชาอร่อย ๆ หากคิดถึงญี่ปุ่นขึ้นมา แค่มีฟุริคาเคะหรือโอฉะสึเกะก็สามารถทานอาหารญี่ปุ่นแบบง่าย ๆ ได้ทันที และหากซื้อโอฉะสึเกะในดิสนีย์แลนด์ ตัวเครื่องในซองจะมีกิมมิคน่ารัก ๆ เป็นรูปมิกกี้เม้าส์ด้วยนะ 2. ดาชิ ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย 郡山鈴木食品 (@suzuki_foods) ดาชิหรือน้ำซุปสไตล์ญี่ปุ่นถือเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์และน่าซื้อกลับอย่างยิ่ง มีทั้งดาชิที่ทำจากปลาและสาหร่าย สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย มีขายทั้งแบบน้ำ แบบเม็ด แบบผง แบบแพ็คเหมือนซองชา แต่ที่แนะนำเป็นอย่างยิ่งคือ Nabe […]
ท่องแดนหิมะขาวบริสุทธิ์ไปกับ JR East ใน 3 พิกัดลานสกีวิวสวยในภูมิภาคโทโฮคุ
ภูมิภาคโทโฮคุ เป็นภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือของเกาะฮอนชู เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวพื้นที่ส่วนใหญ่จะมีหิมะตก ทำให้สามารถสนุกสนานกับการเล่นสกีได้ แม้ว่ากิจกรรมหลักของผู้มาเยือนจะเป็นการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด แต่ที่สกีรีสอร์ทในภูมิภาคโทโฮคุยังสามารถชื่นชมปีศาจหิมะชื่อดังระดับโลกแบบใกล้ชิดและเต็มอิ่มกับการขับสโนว์โมบิลได้ด้วย ท่านใดกำลังวางแแพลนเที่ยวฤดูหนาวอยู่ ทาง JR East ขอแนะนำสกีรีสอร์ท 3 แห่งในภูมิภาคโทโฮคุที่มีลานสกีทิวทัศน์หิมะสวยงามน่าประทับใจ ลานสกีฮักโกดะ (Hakkoda Ski Area) จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ลานสกีฮักโกดะ สามารถเดินทางมาจากสนามบินอาโอโมริด้วยรถบัสโดยใช้เวลาราว 80 นาที ที่นี่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องปริมาณและคุณภาพของหิมะที่มีความหนานุ่ม นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไปยังยอดเขาและลื่นสกีลงมาจากข้างบนด้วยระยะทางที่ยาวมากสุดถึง 5,000 เมตร โดยระหว่างเล่นสกีสามารถดื่มด่ำกับวิวของภูเขาฮักโกดะได้ด้วย สกีรีสอร์ทเปิดให้บริการในปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ดังนั้น ที่นี่จึงนับเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพราะสามารถเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดได้ตลอดจนถึงฤดูใบไม้ผลินั่นเอง และไฮไลต์เด็ดที่ห้ามพลาดคือการชมปีศาจหิมะ (Snow Monster) หรือต้นสนบนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งจะปรากฏให้เห็นแค่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมเท่านั้น โดยปีศาจหิมะหรือจูเฮียว เป็นปรากฏการณ์ที่หยดน้ำอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาปะทะกันกับต้นไม้จนกลายเป็นน้ำแข็งเกาะตัวกันเป็นชั้นๆ เกิดเป็นทัศนียภาพอันสวยงามหาชมได้ยากเพราะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างทางธรรมชาติ เมื่อปะทะกับแรงลมที่พัดผ่านจึงก่อตัวเป็นรูปร่างแปลกตาทำให้ถูกเรียกว่า “ปีศาจหิมะ” และยิ่งเมื่อได้มองลงมาจากกระเช้าลอยฟ้ายิ่งสัมผัสได้ถึงความน่าตื่นตาตื่นใจ หากวันไหนอากาศดี สามารถขึ้นกระเช้ากอนโดลาขนาดใหญ่เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของปีศาจหิมะได้ กระเช้ากอนโดลาสามารถรถจุได้ถึง 101 คน การขึ้นมาชมทิวทัศน์จากบนกระเช้าจึงเป็นที่นิยมมาก ถือเป็นประสบการณ์ที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงที่นี่เพราะสามารถเพลิดเพลินกับวิวภูเขาฮักโกดะและวิวภูเขาหิมะที่อยู่ห่างออกไปได้ตลอด 15 นาทีไม่มีเบื่อ แต่อย่างไรก็ตามทัศนวิสัยอาจจะไม่ดีนักหากมาในช่วงที่มีหิมะตกหนัก วิธีเดินทาง นั่ง Tohoku Shinkansen จากสถานี Tokyo ไปยังสถานี Shin-Aomori ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง จากนั้นให้เปลี่ยนสายเป็นรถไฟสาย Ou Main Line ขึ้นจากสถานี Shin-Aomori มาลงที่สถานี Aomori ใช้เวลาราว 6 นาที แล้วขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Sukayu Onsen นั่งจากสถานี […]
แนะนำ 6 ชาสมุนไพรที่คนญี่ปุ่นใช้ดื่มบรรเทาอาการไม่สบายท้อง
คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเสียดท้อง ท้องอืด หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ หลังจากรับประทานอาหารเยอะโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวที่มีการนัดเลี้ยงเฉลิมฉลองเทศกาลกันบ่อยครั้ง อาการดังกล่าวเกิดจากปัญหาอาหารไม่ย่อยและหมักอยู่ในกระเพาะอาหารนานจนทำให้เกิดแก๊ส ส่งผลให้จุกเสียดแน่นท้องและท้องอืดขึ้นมา มารู้จักชาสมุนไพรที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าจะช่วยบรรเทาอาการไม่สบายท้องได้ดีกันค่ะ 1. ชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint tea) เปปเปอร์มิ้นต์หรือสะระแหน่เป็นสมุนไพรที่ช่วยสร้างความสดชื่น สารประกอบเมนทอลที่มีมากในสะระแหน่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น 2. น้ำขิง (Ginger tea) น้ำขิงประกอบด้วยสารจิงเจอร์ออล (Gingerol) และโชกะออล (Shogaol) ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องอืด และเสียดท้องได้ดี 3. ชาเลมอนบาล์ม (Lemon balm tea) ชาเลมอนบาล์มเป็นชาที่คนจำนวนมากใช้ดื่มเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับเนื่องจากชามีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทำให้นอนหลับง่ายและหลับสนิท นอกจากนี้ ชาชนิดนี้ยังมีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดกระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการท้องอืด และช่วยย่อยอาหารด้วย 4. ชาแดนดิไลออน (Dandelion tea) แดนดิไลออนเป็นพืชตระกูลหญ้าที่มีดอกสีเหลืองขึ้นอยู่ทั่วไปตามพื้นหญ้า ชาจากแดนดิไลออนมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารเพราะจะไปช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารและช่วยเสริมให้การเคลื่อนที่ของอาหารจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็กเป็นไปด้วยดี ทำให้อาหารไม่คั่งค้างในกระเพาะอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการเสียดท้องและท้องอืดได้ดี 5. ชาเยอรมันคาโมมายด์ (German Chamomile tea) คนมักนิยมดื่มชาเยอรมันคาโมมายด์เมื่อรู้สึกไม่สบายท้อง เพราะชาชนิดนี้ช่วยควบคุมสภาวะของกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบ และอาการปวดท้องที่เกิดจากกระเพาะอาหาร เช่น อาการจุกเสียดแน่นท้องเนื่องจากแก๊สและแผลในกระเพาะอาหาร 6. ชาตะไคร้ (Lemongrass tea) ชาตะไคร้เป็นชาที่ดื่มง่ายและมีกลิ่นหอมสดชื่น ชาชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเบื่ออาหาร ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้องและท้องอืดเนื่องจากทานมากเกินไป อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อจึงช่วยบรรเทาอาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อจุลินทรีย์และช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้ หากไม่มีขมิ้นชันสมุนไพรประจำบ้านที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อจุกเสียดแน่นท้องก็ลองใช้ชาสมุนไพรดังกล่าวเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายท้องดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก www2.j-herbgarden ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: อิ่มตาอิ่มพุง! จับคู่วิวใบไม้เปลี่ยนสีกับเมนูอร่อยในโทโฮคุ กลุ่มศิลปิน teamLab ชวนจิบชาท่ามกลางงานศิลปะดิจิทัลในโรงเก็บโชยุ 10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “ชิบะ” ที่ไม่ไปไม่ได้!!! ขนมหวานฤดูหนาว จาก 9 คาเฟ่ในโตเกียว […]
วัฒนธรรม
ประวัติและที่มาของคำว่า 冷たい (tsumetai) เชื่อไหมว่ามาจากเล็บ!?
冷たい (tsumetai) เป็นคำศัพท์ง่าย ๆ ที่พบเจอได้บ่อย มีความหมายว่า เย็น ใช้กับอุณหภูมิของสิ่งต่าง ๆ ที่เราสัมผัสได้ แต่รู้ไหมคะว่าประวัติของคำนี้สามารถย้อนไปได้ไกลถึงสมัยเฮอัน แถมยังมีที่มาที่คาดไม่ถึงอีกด้วย รับรองว่าต้องว้าวแน่นอน ลองไปดูกันค่ะ! ที่มาของคำว่า 冷たい (tsumetai) มาจากเล็บ!? มีทฤษฎีที่น่าเชื่อถืออยู่ว่าที่มาของคำว่า 冷たい (tsumetai) มาจาก 爪が痛い (tsume ga itai : เจ็บเล็บ) เนื่องจากว่าตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะหนาวเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดทั้งนิ้วมือนิ้วเท้าไปถึงเล็บ ในอดีตจึงใช้คำว่า 爪痛し (tsume itashi) เพื่อบรรยายในความหมายว่า “หนาวอย่างเจ็บปวด” แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น つめたし (tsume tashi) จนกลายเป็น 冷たい (tsumetai) อย่างที่ทุกคนคุ้นเคยในปัจจุบัน อย่างที่กล่าวไปว่าเดิมทีเป็นคำที่ใช้อธิบายความรู้สึกว่า “หนาวมาก” แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลับกลายเป็นคำที่ใช้อธิบายถึงความเย็น (อุณหภูมิของอากาศหรืออุณหภูมิของบางสิ่งบางอย่าง) มีอีกความหมายคือ “เย็นชา” นอกจากจะเป็นคำที่ใช้อธิบายอุณหภูมิอากาศหรืออุณหภูมิของสิ่งต่าง ๆ แล้ว ต่อมาก็มีการใช้เพื่ออธิบายท่าทีหรือลักษณะนิสัยว่า “เย็นชา” ได้อีกด้วย เช่น Aさんの態度が冷たい (A san no taido ga tsumetai : คุณเอมีท่าทีเย็นชา) ซึ่งจริง ๆ แล้วการใช้ในความหมายว่าเย็นชานั้นก็มีมาตั้งแต่โบราณด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเพิ่งมีในสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่า 冷たい (tsumetai) ที่มีความหมายว่าเย็นชา แต่เดิมมาจากคำว่า つまべたし (tsumabetashi) เพราะอย่างในเก็นจิโมโนกาตาริ […]
ทำไมคนญี่ปุ่นถึงตำโมจิในช่วงเทศกาลปีใหม่
หากพูดถึง “ปีใหม่” ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “โมจิ” คนญี่ปุ่นจึงนิยมตำโมจิช่วงเทศกาลปีใหม่ ก่อนจะนำไปประดับบ้านหรือนำมารับประทานกันในครอบครัวเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมคนญี่ปุ่นต้องตำโมจิกันในช่วงปีใหม่ เขาทำไปเพื่ออะไร เป็นขนมอื่นไม่ได้เหรอ แล้วกิจกรรมนี้มีความสำคัญและความเป็นมายังไงบ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้เลยค่ะ “โมจิ” อาหารมงคลในวันปีใหม่ ก่อนจะไปพูดถึงการตำโมจิ ขอเท้าความก่อนว่าทำไม “โมจิ” ถึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของญี่ปุ่น และเป็นอาหารมงคลที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของญี่ปุ่นมาช้านานตราบจนปัจจุบัน ในอดีตสมัยที่ชาวญี่ปุ่นยังทำเกษตรกรรมเป็นหลัก พวกเขาเชื่อว่าเทพอุคาโนมิทามะ (稲魂) ซึ่งเป็นเทพแห่งอาหาร การเกษตร และความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงวิญญาณแห่งธัญพืชสถิตอยู่ในข้าวที่ปลูกในนา ชาวญี่ปุ่นจึงให้ความเคารพข้าวในฐานะอาหารศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตให้กับผู้คน และถือว่าอาหารเครื่องดื่มทุกอย่างที่ทำมาจากข้าว เช่น โมจิ หรือสาเก ฯลฯ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นที่มาของการตำโมจิในช่วงปีใหม่หรือในโอกาสพิเศษต่างๆ ทานเพื่อความเป็นสิริมงคลนั่นเอง การตำโมจิ หรือ โมจิซึกิ การตำโมจิในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โมจิซึกิ (餅つき)” เป็นการนำแป้งโมจิจากหม้อนึ่งมาใส่ในครกขนาดใหญ่แล้วตำด้วยไม้ทุบ ทำควบคู่กับอีกคนที่ตีและนวดแป้งโมจิด้วยมือ จะเห็นได้ว่าการตำโมจิไม่ใช่งานที่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ต้องอาศัยความสามัคคี การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โมจิจึงเป็นอาหารที่นอกจากจะมีที่มาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคลแล้ว ยังสื่อถึงการแบ่งปันความสุขร่วมกันของทุกคนอีกด้วย ไม่ควรตำโมจิวันไหน โดยปกติแล้วจะตำโมจิกันในวันที่ 28 ธันวาคมหรือช่วงก่อนปีใหม่ ยกเว้นวันที่ 29 หรือ 31 ธันวาคม เพราะเชื่อว่าหากทำในวันที่ 29 จะทำให้ “ทุกข์สองเท่า” จากคำว่า “นิจูคุ (二重苦)” ที่ไปพ้องเสียงกับเลข 29 ในภาษาญี่ปุ่น (นิคือ 2, จูคือ 10 พ้องเสียงกับคำว่าจูที่แปลว่าเท่าตัว (重), คุคือ 9 ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าคุในคุโร (苦労) ที่หมายถึงความลำบากทุกข์ยาก รวมกันเป็นเป็น 29) […]
ANNGLE PICK UP
ท่องเที่ยว
แนะนำวิธีซื้อตั๋ว USJ ล่วงหน้า พร้อมวิธีจองบัตรเข้าโซนใหม่ยอดฮิต Super Nintendo World
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกแห่งความสุขกับธีมปาร์คชื่อดังยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเอเชีย Universal Studio Japan เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2021 ทาง Universal Studio Japan ได้เปิดตัวโซนใหม่ที่เป็นดาวเด่นมาแรงไม่แพ้โซน “The Wizarding World of Harry Potter” หรือ “Minion Park” เลย นั่นคือ “Super Nintendo World” ซึ่งในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำให้รู้จักกับโซนนี้กันค่ะ Universal Studio Japan สวนสนุกที่ใครก็ใฝ่ฝัน สำหรับ Universal Studio Japan หรือเรียกย่อๆ ว่า USJ แห่งนี้อยู่ที่จังหวัดโอซากะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวฮอตฮิตในประเทศญี่ปุ่นและในโซนเอเชียที่จะช่วยสานฝันของทุกคนให้เป็นจริง! เพราะสามารถใกล้ชิดกับฉากจำลองภาพยนต์หรือตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโปรดชนิดที่ทำให้ใจฟูด้วยความฟิน รวมถึงเครื่องเล่นสนุกๆ มากมายและการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองของพนักงานตามเครื่องเล่นและร้านค้าต่างๆ เพื่อให้ทุกคนเที่ยว USJ ได้อย่างเต็มที่ไม่มีสะดุด ในบทความนี้จึงขอแนะนำวิธีการซื้อบัตรรวมถึงโซนน่าสนใจต่างๆ ในปาร์คกันค่ะ ซื้อบัตร USJ ได้ที่ไหนอย่างไรบ้าง? ช่องทางการซื้อบัตรเข้า USJ นั้นสามารถซื้อได้ทั้งจากเว็บไซต์ของ Universal Japan โดยตรง หรือจะซื้อบัตรที่บูธหน้างานเลยก็ย่อมได้ แต่…! เราขอแนะนำว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ “การซื้อบัตรล่วงหน้า” เนื่องจากเป็นสวนสนุกชื่อดังที่มีผู้คนเข้าใช้บริการคับคั่งเป็นประจำทุกวันไม่เว้นวันหยุด เราจึงจำเป็นต้องเผื่อเวลาในการยืนรอเครื่องเล่นเอาไว้ หากเราต้องไปซื้อบัตรหน้างานจะยิ่งทำให้เสียเวลาต่อแถวไปอีก การจองบัตรล่วงหน้าไปจึงจำเป็นมากกว่าที่เราคิด เช่น การซื้อบัตรผ่านเว็บไซต์ KKday ก็เป็นอีก 1 ช่องทางที่แนะนำ เมื่อเราซื้อบัตรล่วงหน้าแล้วเพียงแค่นำ QR Code ที่ได้ไปยื่นให้พนักงานแสกนที่ทางเข้าเท่านั้นเอง สะดวกและประหยัดเวลาสุดๆ ไปเลย เว็บไซต์ KKday […]
ปักหมุดที่เที่ยวยอดฮิตใน 5 เมืองหลักจังหวัดฮอกไกโด!
ฮอกไกโดเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนํ้าพุร้อน สวนดอกไม้ โรงงานทำแก้ว ฯลฯ จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกลังเลสับสนไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวส่วนไหนดี!? บทความนี้จึงได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวใน 5 เมืองหลักของฮอกไกโดมาให้แล้ว จะมีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ! 1. ซัปโปโร ซัปโปโรเป็นเมืองหลวงของฮอกไกโดมีประชากรเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งถือว่ามากอันดับสี่ของญี่ปุ่น มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี เดินทางสะดวก มีการผสมผสานระหว่างเสน่ห์ของเมืองและธรรมชาติได้อย่างลงตัว เนื่องจากตัวเมืองตั้งอยู่บนที่ราบ ส่วนทางตะวันตกและทางใต้รอบล้อมด้วยภูเขาสูง ทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงาม 1.1 อดีตที่ทำการรัฐบาลฮอกไกโด (Former Hokkaido Government Office) อาคารนี้เคยเป็นที่ทำการของรัฐบาล สร้างขึ้นในสมัยเมจิ (ค.ศ.1888) ก่อด้วยอิฐแดงสไตล์นีโอบาโรก ปัจจุบันได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญระดับประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดฮอกไกโด บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของฮอกไกโด ส่วนการเดินทางก็สะดวกมากๆ เพราะอยู่ใกล้กับสถานีซัปโปโรเลยค่ะ แต่ตอนนี้ปิดทำการปรับปรุงจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เลย ถึงจะเข้าไปไม่ได้แต่ได้มาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบๆ ก็ไม่เลวนะ! ที่ตั้ง: 6 Chome-1 Kita 3 Jonishi, Chuo Ward, Sapporo, Hokkaido 060-0003 การเดินทาง: นั่งรถไฟไปลงที่ JR Sapporo Station แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที ค่าเข้า: ไม่มี เวลาทำการ: 8.45 – 18.00 (ตอนนี้ปิดชั่วคราว) 1.2 หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Tokeidai) สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1878 แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นอาคารปฏิบัติงานของวิทยาลัยเกษตรซัปโปโร หรือมหาวิทยาลัยฮอกไกโดในปัจจุบัน อาคารนี้ได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ […]
10 ของใช้จำเป็นที่ควรพกเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น
ทุกคนเคยไหมคะ? ไปเที่ยวแต่ดันเตรียมของไม่ครบจนทริปนั้นหมดสนุก ยิ่งถ้าเราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วลืมของใช้อะไรสักอย่างจะเป็นอะไรที่เซ็งมาก จะหาซื้อก็เสียเวลาเสียเงินโดยใช่เหตุ ดังนั้นเราจึงรวบรวมของใช้จำเป็นที่ควรพกเมื่อไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ 1. ผ้าเช็ดหน้า เดี๋ยวนี้คงไม่ค่อยมีใครพกผ้าเช็ดหน้า แต่เหตุผลที่ควรพกเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นเพราะห้องน้ำสาธารณะที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีทิชชู่สำหรับเช็ดมือ หรือตามร้านอาหารก็จะมีแต่ทิชชู่เปียกสำหรับเช็ดมือ ไม่ค่อยมีทิชชู่แห้งตามโต๊ะไว้สำหรับเช็ดปากเหมือนในประเทศไทย การพกผ้าเช็ดหน้าจึงจำเป็น และอาจจะสะดวกกว่าการพกทิชชู่แบบซอง แต่ถ้าใครไม่ค่อยพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวอาจจะไปหาซื้อที่ร้านขายของฝากตามสถานที่ท่องเที่ยวก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าสามารถหาซื้อได้ง่ายแถมยังมีลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ 2. เงินสด แม้ปัจจุบันจะเริ่มเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าทุกประเทศจะสามารถทำได้ 100% ถึงเราจะใช้บัตรเครดิตจ่ายได้แต่หากซื้อของตามร้านค้าที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า เช่น ร้านอาหารข้างทาง, ร้านราเม็งตามตรอกเล็กๆ เป็นต้น บอกเลยว่าการพกเงินสดไปด้วยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากทีเดียว ข้อดีคือประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เราสามารถพกเงินสดจำนวนมากออกไปข้างนอกได้อย่างไม่ต้องกังวล 3. กระเป๋าใส่เงินเหรียญ เงินชนิดเหรียญของญี่ปุ่นนั้นมีตั้งแต่ 1, 5, 10, 50, 100 จนถึง 500 เยน หากเราจ่ายด้วยแบงค์เงินสดอาจได้รับเงินทอนเป็นเหรียญมาจำนวนมาก ใครที่พกกระเป๋าเงินแบบใส่เงินเหรียญได้แค่ไม่กี่เหรียญคงลำบาก อีกทั้งในบางสถานที่ เช่น หน้าซูเปอร์มาเก็ต ในห้างสรรพสินค้า ก็จะมีตู้กาชาปองไว้หยอดเหรียญ หรือในศาลเจ้าญี่ปุ่นก็จะมีกล่องใส่เหรียญ 5 เยน เมื่อไปสักการะเทพเจ้าด้วย ดังนั้นหากพกกระเป๋าใส่เงินเหรียญก็จะทำให้หยิบใช้ได้สะดวก 4. ถุงพลาสติก บางคนได้ยินมาว่าบ้านเมืองญี่ปุ่นสะอาดมากถึงขนาดที่ไม่มีเศษขยะเกลื่อนกลาดตามพื้นถนนให้เห็น คงคิดว่าประเทศเขามีถังขยะหลายจุดจนสามารถทิ้งขยะได้ทุกที่ใช่ไหมคะ? ความจริงแล้วหายากพอสมควรค่ะ เคยต้องพกขยะติดตัวตลอดทางจนถึงโรงแรมเลยก็มี ถ้าไม่เจอร้านสะดวกซื้อก็แทบไม่เจอถังขยะเลย แต่ถ้าเจอจุดทิ้งขยะนี่ถือว่าโชคดีมาก ใครที่ไม่อยากมีประสบการณ์แบบนั้นขอแนะนำให้พกถุงพลาสติกติดตัวไปด้วย เพราะจะได้เอาไว้ใส่ขยะนำกลับไปทิ้งที่โรงแรมหากหาถังขยะไม่เจอ และไม่หกเลอะเทอะเปื้อนกระเป๋าของเรา แนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักช้อปว่าให้พก eco bag ไปด้วยเพราะสะดวกเวลาช้อปปิ้งเหมือนกัน 5. บัตรโดยสาร IC Card ส่วนที่ทำให้สามารถเดินทางในญี่ปุ่นได้สะดวกมากยิ่งขึ้นคือการมีบัตรโดยสาร IC Card ไม่ว่าจะเป็นบัตร Pasmo หรือ Suica ก็สามารถใช้เดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัสได้อย่างสะดวกพียงแค่เติมเงินเข้าไปในบัตร นอกจากจะใช้เดินทางแล้วยังสามารถใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ตู้กดน้ำอัตโนมัติ […]
สัมผัสญี่ปุ่นในมุมมองใหม่ผ่าน 5 ที่เที่ยวในโตเกียว!
วัฒนธรรมย่อย หรือ Subculture (หมายถึง วัฒนธรรมเล็กๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อาจมีแนวคิด ความชอบ ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ แตกต่างจากคนกลุ่มใหญ่ เช่น กลุ่มคนชอบเล่นเกม กลุ่มคนชอบแต่งคอสเพลย์ เป็นต้น) มีให้เห็นอยู่แทบทุกประเทศ วัฒนธรรมย่อยของญี่ปุ่นเองก็มีเหมือนกันค่ะ และบางวัฒนธรรมก็ถูกเผยแพร่ออกไปสู่ภายนอกจนเป็นกลายเป็นจุดหมายในการเดินทางมาญี่ปุ่นของใครหลายๆ คน ในบทความนี้จะมาแนะนำ 5 สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว ที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมย่อยที่อยู่ร่วมกับวัฒนธรรมหลักได้อย่างกลมกลืน ทำให้ได้เห็นญี่ปุ่นในอีกมุมมอง ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนๆ ได้สัมผัสประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่อาจไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน! 1. ชมการฝึกยามเช้าของนักซูโม่ ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย 錦織 祐一 (@nishigori_y) ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่น ในโตเกียวมีโรงฝึกซูโม่มากกว่า 40 แห่ง แต่ส่วนใหญ่มักไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม “อาราชิโอะเบยะ (Arashio-beya)” เป็นโรงฝึกซูโม่ที่อยู่ใจกลางกรุงโตเกียวซึ่งเปิดให้คนทั่วไปสามารถชมการฝึกซ้อมยามเช้าของนักซูโม่ได้ ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของโรงฝึกที่หันออกไปทางถนน เราจะได้เห็นภาพนักซูโม่กำลังทุ่มเทฝึกฝนอย่างจริงจัง หรือเวลาที่นักซูโม่ปะทะพลังกันจนสัมผัสได้ถึงพละกำลังและความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี Arashio-beya Sumo Stable (荒汐部屋) ที่ตั้ง : 2 Chome-47-2 Nihonbashihamacho, Chuo City, Tokyo 103-0007, Japan เวลาให้บริการ : 6:30 ~ 10:00 a.m. การเดินทาง : นั่งรถไฟ Tokyo Metro Hibiya Line (東京メトロ日比谷線) ไปลงสถานี Ningyocho Station (人形町駅) แล้วเดินต่ออีก […]
“หม้อไฟปลาอังโค” เมนูเลิศรสที่หาทานได้เฉพาะในฤดูหนาวจังหวัดอิบารากิเท่านั้น!
ปลาอังโค (あんこう) หรือปลาแองเกลอร์ เป็นปลาหน้าตาประหลาด ลำตัวแบน หัวโต มีฟันแหลมคม อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ถ้าเห็นแล้วอาจคิดว่าไม่น่าเอามาทำอะไรทานได้ แต่เจ้าปลาอังโคถือเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศของสุดยอดอาหารช่วงฤดูหนาวในจังหวัดอิบารากิเลย เพราะ “หม้อไฟปลาอังโค (Anko-Nabe, あんこう鍋)” จัดเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนยืนหนึ่งของอาหารประจำจังหวัดอิบารากิในช่วงฤดูหนาว ถึงขั้นมีคำกล่าวสำหรับของดีญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวที่ว่า “ทิศตะวันออกต้องปลาอังโค ทิศตะวันตกต้องปลาปักเป้า” หน้าตาของหม้อไฟปลาอังโคอาจจะดูเหมือนเมนูหม้อไฟทั่วไป แต่ใครจะรู้ว่าอาหารจานเด็ดเมนูนี้มีประโยชน์หลายอย่าง สาว ๆ ญี่ปุ่นยังชอบทานกันมาก เพราะปลาอังโคเป็นปลาที่มีรสชาติบางเบาไม่หนักท้อง มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยคอลลาเจน บทความนี้เราจะมาพูดถึง 7 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ของหม้อไฟปลาอังโค ไปจังหวัดอิบารากิช่วงฤดูหนาวอย่าลืมไปชิมเมนูนี้กันล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนมาไม่ถึงอิบารากินะ 1. “หม้อไฟปลาอังโค” คืออะไร? หม้อไฟปลาอังโค หรือ อังโคนาเบะ เป็นจานอาหารที่ใช้ปลาอังโค (หรือปลาแองเกลอร์) เป็นวัตถุดิบหลัก โดยจะใช้ส่วนประกอบ 7 อย่างของปลาอังโค ผัก และซุปวาริชิตะ ใส่รวมกันลงในหม้อไฟ ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงเพียง 2 อย่างคือมิโสะและซีอิ๊ว หม้อไฟปลาอังโคจึงมีรสชาติอ่อนไม่จัดจ้าน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรของคนทำแต่ละคนด้วย หม้อไฟปลาอังโคในแต่ละร้านอาหารจึงอาจมีรสชาติที่แตกต่างกัน สำหรับคนที่ไม่เคยลองเมนูนี้มาก่อน ลองทานเป็นเมนูหม้อไฟปลาอังโคแบบธรรมดาไปก่อนได้ หรือถ้าอยากลองแบบที่มีรสชาติเข้มข้นกว่าหม้อไฟปลาอังโคปกติ ให้ลองทานเป็น “ซุปโดบุจิรุ (どぶ汁)” ดู จะเป็นซุปที่เคี่ยวกับตับปลาอังโคที่ละลายในนั้น ให้รสชาติเข้มข้นไปอีกแบบ 2. “ซุปโดบุจิรุ” อีกหนึ่งรสชาติสุดเข้มข้น ว่ากันว่าซุปโดบุจิรุมีที่มาจากชาวประมงบนเรือที่ต้องใช้น้ำอย่างประหยัดในการปรุงอาหาร ใช้วัตถุดิบเพียงปลาอังโคสับ ปรุงด้วยน้ำจากผักที่ใส่ลงไป เพิ่มเติมรสชาติด้วยตับและมิโสะเท่านั้น ได้ออกมาเป็นซุปรสชาติกลมกล่อม แต่คนที่ไม่เคยทานมาก่อนอาจจะไม่คุ้นกับกลิ่นและรสชาติที่เข้มข้น 3. “ส่วนประกอบทั้ง 7 ของปลาอังโค” มีอะไรบ้าง ดูโพสต์นี้บน Instagram […]
ไปโกเบต้องแวะ! แนะนำ 6 คาเฟ่น่ารักพร้อมขนมอร่อยในจังหวัดเฮียวโกะ
พูดถึงคาเฟ่ในแถบคันไซ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมไปกันที่โอซาก้าและเกียวโต แต่จริง ๆ แล้วจังหวัดอื่น ๆ ในแถบคันไซก็มีคาเฟ่เก๋ ๆ ขนมอร่อย ๆ อีกมากมายหลายแห่ง วันนี้เราจะมาแนะนำ 6 คาเฟ่น่าไปในจังหวัดเฮียวโกะ เผื่อใครไปเที่ยวแถบโกเบ จะได้ไปลองนั่งพักผ่อนจิบกาแฟชิมขนมชิล ๆ กันนะคะ 1. soleda ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย アヤネ (@aynsyt) ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย 지니 (@geniesuke) ร้านแรกคือ soleda ใน Motomachi เป็นคาเฟ่เกาหลีที่เพิ่งเปิดให้บริการในปี 2021 ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีขาวแบบเรียบง่ายและมีพร็อบเป็นของจุ๊กจิ๊ก ๆ สไตล์เกาหลี น่ารักโดดเด่นเหมาะสำหรับสาว ๆ สายเกามาก ๆ เมนูจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แถมเค้กและขนมของที่นี่ก็ดูน่ารัก สีสันสดใสตัดกับร้านสีขาว ถ่ายรูปออกมาสวยมาก และยังมีครอฟเฟิลกรุบกรอบให้เลือกได้หลากหลายรสชาติ อย่าลืมลองสั่งมาชิมกันนะ soleda ที่อยู่ : Japan 〒650-0022 Hyogo, Kobe, Chuo Ward, Motomachidori, 3 Chome-12-13 1F/B1F วัน-เวลาทำการ : วันธรรมดา 13.00-18:00 น. เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11.00-18:00 น. ปิดวันพุธ การเดินทาง : นั่งรถไฟ JR มาลงที่ […]
สัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดวาฬกว่าใครที่ “เมืองวาฬ” ในจังหวัดวาคายามะ
สถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมีทั้งเกาะแมว, เกาะกระต่าย, หมู่บ้านจิ้งจอกแดง ฯลฯ แล้วทุกคนทราบไหมคะว่ามี “เมืองวาฬ” ที่เราสามารถดูวาฬได้อย่างใกล้ชิดอยู่ด้วยนะ มารู้จักกับ “เมืองวาฬ” กันเถอะ เมืองไทจิ (Taiji, 太地町) หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ เมืองวาฬ (Kujira no Machi, クジラの町) เป็นเมืองท่าเล็กๆ อยู่ในจังหวัดวาคายามะ มีประชากรเพียง 3,000 คนเท่านั้น เป็นพื้นที่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลจึงอุดมไปด้วยอาหารทะเลมากมายหลายชนิด บริเวณใกล้ๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “น้ำตกนะชิ (Nachi no Taki, 那智滝)” และเส้นทาง “คุมาโนะโคโด (Kumano Kodo, 熊野古道)” อันเก่าแก่ซึ่งเป็นมรดกโลกของจังหวัดวาคายามะ ทำให้ที่นี่มีโรงแรมตั้งอยู่หลายแห่งและมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบายเหมาะกับการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย นอกจากนี้ตัวเมืองยังมีอุทยาน “Yoshino Kumano National Park (吉野熊野国立公園)” ที่มีจุดชมวิวสวยงามแบบพาโนรามาให้ได้ชมกันด้วย ในอดีตเมืองวาฬเคย “ล่าวาฬ” มาก่อน เมืองไทจิเป็นเส้นทางที่วาฬมักว่ายผ่านไปมาเป็นประจำจึงสามารถชมวาฬได้ตลอดทั้งปี แต่รู้หรือไม่คะว่าที่มาของชื่อ “เมืองวาฬ” ที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมาแต่เดิมนั้นไม่ได้มาเพราะเป็นเมืองที่ใกล้ชิดวาฬมากที่สุด แต่มาจากการที่เมืองนี้เคย “ล่าวาฬ” มาก่อน แต่ปัจจุบันเมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่ผู้คนจะได้อยู่ร่วมกับวาฬอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าที่ไหน ญี่ปุ่นล่าวาฬไปทำไม? อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “การล่าวาฬในอดีต วันนี้ และวันหน้าของญี่ปุ่น” ภายในบริเวณมีของที่เกี่ยวข้องกับวาฬและวัฒนธรรมการล่าวาฬในอดีต เช่น ประภาคารที่เคยใช้น้ำมันวาฬเป็นเชื้อเพลิง แท่นไว้สำหรับให้คนสอดส่องวาฬในทะเลและออกคำสั่งล่า ร่องรอยของเนินดินที่เอาไว้ใช้ติดต่อคำสั่งล่าวาฬ รวมถึงอนุสรณ์สถานรูปวาฬเพื่อเคารพและขอบคุณเหล่าวาฬที่ถูกฆ่าไปจำนวนมาก ฯลฯ หลายสถานที่ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยเกี่ยวกับวาฬเหล่านี้ และเรื่องราวที่บอกเล่าถึงวัฒนธรรมการล่าวาฬในทะเลคุมาโนะสื่อถึงวิถีชีวิตที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวาฬ กลายเป็นมรดกญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว มรดกญี่ปุ่นคืออะไร? อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “มารู้จักกับนิยามของสิ่งที่เรียกว่า “มรดกญี่ปุ่น” กันดีกว่า!” แนวคิด 4 […]
วัดแมว Gotanjoji วัดในจังหวัดฟุคุอิที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยแมว!
จังหวัดฟุคุอิ เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่อยู่ในภูมิภาคชูบุ ติดกับทะเลและโอบล้อมไปด้วยภูเขารวมถึงธรรมชาติอันงดงาม แต่หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการชมอะไรสวยๆ งามๆ ไปเสพความน่ารักทางสายตาและสัมผัสขนนุ่มๆ ของสิ่งมีชีวิตสุดน่าเอ็นดูในจังหวัดฟุคุอิ ขอแนะนำ “วัด Gotanjoji (御誕生寺)” วัดที่เต็มไปด้วยแมวไม่ว่าจะเป็นตัวน้องแมวที่เดินกันอย่างอิสระภายในวัด เซียมซี ภาพวาด ของที่ระลึก ตราประทับศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้กระทั่งบนรูปปั้นพระพุทธรูปหิน! “วัดแมว” วัดที่เต็มไปด้วยแมว เมี้ยววว ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย Taberu.Makie.Revolution (@ussimakki) วัด Gotanjoji ตั้งอยู่ในเมือง Echizen จังหวัดฟุคุอิ หลายคนเรียกสั้นๆ ว่า “วัดแมว” ส่วนที่มาของชื่อนั้นมาจากตอนเริ่มสร้างวัด เจ้าอาวาสเห็นน้องแมว 4 ตัวในลังกระดาษอยู่ภายในบริเวณวัดที่กำลังมีการก่อสร้าง ท่านเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้จึงให้ข้าวให้น้ำ ดูแลเป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีแมวเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 ตัวซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแมวที่ถูกทอดทิ้งหรือบาดเจ็บได้ป่วย ทางวัดจึงช่วยดูแลให้ ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย @assan0206 ด้วยความที่ทางวัดปล่อยให้น้องแมวเดินเล่นภายในวัดได้อย่างอิสระเสรี จึงเป็นที่รู้กันดีของเหล่าทาสแมวทั่วประเทศว่าถ้าอยากมาน้วยแมว นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด! แมวที่นี่คุ้นชินกับคนแล้ว บางตัวก็จะมานัวเนียถูไถให้เหล่าทาสปริ่มหัวใจก็มี แต่หากโชคไม่ดีอาจจะมีโอกาสได้เจอน้องแค่ตัวสองตัว เพราะน้องอยู่ทั่วบริเวณของวัด บางตัวก็อาจจะหลบอยู่ตามมุมโน้นมุมนี้บ้าง ใครอยากเห็นน้องแมวมารวมตัวกันเยอะๆ ขอแนะนำให้มาช่วงที่พระให้อาหารแมว นั่นคือช่วง 7 โมงเช้าและบ่าย 3 โมงครึ่ง เหล่าน้องแมวจะกรูกันเข้ามาเพื่อกินอาหาร เป็นดั่งช่วงแฟนมีตที่เจอน้องได้ง่ายที่สุดเลย มีชื่อเสียงในด้าน “ผูกดวงชะตา” และ “ให้กำเนิดบุตร” ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย nao (@sunao00372) […]
ป้ายยา! นั่งรถไฟ Local ตะลอนโทโฮคุชิวๆ ในฤดูหนาว
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่น JR Times by JR East ก็เป็นเว็บหนึ่งที่เหมาะกับการทำการบ้านเพื่อเตรียมทริปลุยญี่ปุ่น โดย JR Times by JR East เป็นเว็บไซต์ที่รวมทุกบทความเกี่ยวกับรถไฟที่นักท่องเที่ยวต้องรู้ ซึ่งรวมถึงบทความรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ห้ามพลาดที่สามารถนั่งรถไฟไปได้ รีวิวรถไฟสุดพิเศษของ JR East และอีกมากมาย! คนที่ชอบเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาวอาจจะเลือกไปฮอกไกโดกันเป็นหลัก แต่ถ้าอยากหลบผู้คนล่ะก็ โทโฮคุก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีหิมะหนาปุยและมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ซึ่งวิธีเที่ยวโทโฮคุในฤดูหนาวให้สนุกมีมากมาย ตั้งแต่การไปเที่ยวตามเทศกาลฤดูหนาว การเล่นสกี ไปจนถึงการเที่ยวแบบ Slow Life โดยนั่งรถไฟเที่ยวย่านชนบทเพื่อสัมผัสบรรยากาศท้องถิ่น และถ้าการนั่งรถไฟเที่ยวแบบนี้คือ Vibe การเที่ยวที่เพื่อนๆ กำลังมองหาล่ะก็ เรามีรีวิวการเที่ยวไปตามทางรถไฟสายท้องถิ่นในโทโฮคุจากคุณ Kevin Koh มาฝากกัน! ท่องแดนหิมะไปกับทางรถไฟท้องถิ่นโทโฮคุในฤดูหนาว เวลานั่งรถไฟเที่ยวในทริปวันหยุด คุณจะใช้เวลาบนรถกันอย่างไรกันบ้าง? บางคนอาจจะถ่ายรูปบรรดารถไฟที่คุณเจอไว้หลายรูป โดยเฉพาะรถไฟพิเศษเช่นรถจักรไอน้ำหรือบรรดารถไฟ Joyful Train ด้วยทางรถไฟท้องถิ่นมากมายในญี่ปุ่นที่มีทั้งของ JR และไม่ใช่ของ JR แบบนี้ จึงมีรถไฟให้นั่งและวิวให้มองเยอะไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน! แม้ญี่ปุ่นจะสวยงามในทุกฤดู แต่ผมชอบการนั่งรถไฟยาวๆ ในฤดูหนาวเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หิมะจะเปลี่ยนวิวรอบข้างให้ดูราวกับภาพวาดหมึกสีขาวดำ และนี่คือบางส่วนของทางรถไฟท้องถิ่นในภูมิภาคโทโฮคุ (東北地方 Tōhoku-chihō) ที่ผมชอบเดินทางและถูกบริหารโดย JR East! ทางรถไฟสาย Kitakami (北上線) ทางรถไฟสาย Kitakami (北上線 Kitakami-sen) เชื่อมสถานี Kitakami (北上駅 Kitakami-eki) ในเมืองคิตาคามิ (Kitakami City) ของจังหวัดอิวาเตะกับสถานี Yokote (横手駅 Yokote-eki) ในเมืองโยโกเตะ (Yokote City) ของจังหวัดอาคิตะ ด้วยระยะทาง […]
อิ่มตาอิ่มพุง! จับคู่วิวใบไม้เปลี่ยนสีกับเมนูอร่อยในโทโฮคุ
“ใบไม้เปลี่ยนสี” และ “ของกิน” เป็น 2 คำที่นิยามฤดูใบไม้ร่วง และเป็นอะไรที่หลายคนต่างรอให้กลับมาในทุกๆ ปี ก็เนอะ ใครไม่ชอบของอร่อยบ้างล่ะ! และสำหรับใครที่อยากฉลองเทศกาลแห่งสีสันธรรมชาติร้อนแรงพร้อมอร่อยไปกับของกินท้องถิ่นสุดยูนีคประจำฤดูกาล ท็อปและคิน สองนักเขียนของ ANNGLE ขอกวักมือชวนทุกคนขึ้นรถไฟไปจังหวัดฟุกุชิม่า จังหวัดอาคิตะ และจังหวัดอาโอโมริของภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งที่รวมของอร่อยและวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จังหวัดฟุกุชิม่า พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดฟุกุชิม่า “ปราสาทสึรุกะ” เริ่มกันที่แรกที่ใกล้โตเกียวที่สุดกันก่อน นั่นคือปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle) ในจังหวัดฟุกุชิม่า ปราสาทสึรุกะตั้งอยู่ในเมืองไอสึ-วากามัตสึ (会津若松, Aizu-Wakamatsu) เมืองที่ผูกอยู่กับประวัติศาสตร์ซามูไร และแน่นอนว่าปราสาทสึรุกะเองก็เป็นฉากหลังในเหตุการณ์สำคัญๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในสงครามโบชินช่วงปีค.ศ. 1868 แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ปัจจุบันปราสาทสึรุกะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองไอสึ-วากามัตสึ และเป็นปราสาทที่มีหลังคาสีแดงซึ่งหาชมได้ยากในบรรดาปราสาททั่วประเทศญี่ปุ่น และสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพปราสาท ปราสาทสึรุกะเป็นปราสาทที่ว่ากันว่าจะอยู่ตรงไหนก็หามุมสวยถ่ายได้ตลอด โดยเฉพาะช่วงซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ตอนที่ท็อปและคินไปถึงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ถึงอย่างนั้นรอบๆ ปราสาทก็มีต้นแปะก๊วยสีเหลืองให้ชมกันแล้ว (ถึงจะยังเหลือสีอมเขียวนิดๆ ของฤดูร้อนอยู่บ้างก็ตาม) ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าสวนปราสาทกว้างขนาดนี้ จะเริ่มถ่ายรูปจากตรงไหนดี แต่ก็ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะเดินแป๊บๆ ก็ได้มุมถ่ายรูปแล้ว ซึ่งจุดแรกคือใต้ต้นแปะก๊วยที่ถูกตัดแต่งกิ่งให้พอมองเงยขึ้นแล้วจะรับกับรูปทรงของปราสาทได้สวยแต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่ ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ พอดี ทำให้ได้แสงโทนอุ่นซึ่งเหมาะกับการถ่ายรูปปราสาทสึรุกะกลางต้นแปะก๊วยสีทองสุดๆ หลังเก็บรูปจนพอใจก็เดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ซึ่งจะพาเราวนออกมาที่กลางสวนและได้ภาพด้านข้างของปราสาทแบบไกลๆ จากตรงนั้น พอหันหลังให้ปราสาทเราก็เห็นทิวใบไม้เปลี่ยนสีข้างหลังรั้วไม้ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าที่นั่นคือสวนที่เป็นที่ตั้งของเรือนน้ำชารินคาคุ (茶室麟閣) ตั้งอยู่ และมาเที่ยวปราสาทญี่ปุ่นทั้งที จะไม่แวะพักดื่มชากินขนมก็คงไม่ครบรส! เรือนน้ำชารินคาคุเป็นเรือนน้ำชาที่ว่ากันว่ากาโม อุจิซาโตะ (蒲生氏郷) เจ้าของปราสาทสึรุกะ ณ ขณะนั้นสร้างขึ้นเพื่ออุปถัมภ์เซ็น โชอัน (千少庵) บุตรชายของเซ็น โนะ ริคิว (千利休) อาจารย์และบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพิธีชงชาอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ถึงจะเคยถูกย้ายที่ตั้งไปที่อื่นมาก่อน […]
ไลฟ์สไตล์
รู้จัก 3 นกน้อยน่ารักที่ชอบมากินน้ำหวานจากเกสรดอกบ๊วยในญี่ปุ่น
ดอกบ๊วยเป็นดอกไม้ที่มีกลีบดอกโทนสีชมพูสวยงาม จะบานให้คนญี่ปุ่นชมตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนถึงกลางเดือนมีนาคมแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกบ๊วยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างหลงรัก มารู้จักดอกบ๊วยและชมภาพนกน้อยที่มักพบเห็นตามต้นบ๊วยในช่วงที่ดอกไม้บานกันค่ะ รู้จักดอกบ๊วย บ๊วยเป็นไม้ดอกที่คนญี่ปุ่นนำเข้ามาจากจีนเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร ปัจจุบันในญี่ปุ่นมีสายพันธุ์บ๊วยที่ให้ดอกสวยงามกว่า 500 สายพันธุ์ ดอกบ๊วยเป็นดอกไม้บอบบางที่มีกลีบกลม ปลายกลีบมน โดยมีตั้งแต่เพียง 5 กลีบไปจนถึงมีกลีบซ้อนกันหลายชั้น ดอกบ๊วยมีก้านชูเกสรที่ยาวสั้นแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์ มีกลิ่นหอมละมุนมาก และมีสีต่างๆ ได้แก่ ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม ขาว และแดง เป็นต้น ลักษณะเด่นของดอกบ๊วยอย่างหนึ่งคือ การบานแบบหนึ่งดอกต่อหนึ่งตาดอก ทำให้มองเห็นเหมือนกิ่งก้านของต้นบ๊วยถูกแปะติดด้วยดอกบ๊วยสีสันต่างๆ และเมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นประหนึ่งภาพวาดสีสันสวยงาม นกน้อยน่ารักที่มักพบเห็นตามต้นบ๊วย นอกจากการเพลิดเพลินกับสีสันสวยงามและกลิ่นหอมละมุนของดอกบ๊วยแล้วบ่อยครั้งก็จะพบเห็นนกตัวเล็กสีสันโดดเด่นสาละวนอยู่กับการดูดน้ำหวานจากดอกบ๊วย ซึ่งเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้กับคนที่ชอบดอกไม้และธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง นกน่ารักที่มักพบเห็นตามต้นดอกบ๊วยมีดังนี้ 1. นกตาขาวญี่ปุ่นหรือเมจิโระ (メジロ, Warbling white-eye) เมจิโระเป็นนกที่มีขนาดเล็กประมาณนกกระจิบ ลำตัวด้านบนและปีกมีสีเขียวเขียวมะกอกไปจนถึงเขียวอ่อน ส่วนท้องมีสีออกน้ำตาลอมเขียว รอบขอบตาเป็นสีขาวชัดเจน ในญี่ปุ่นสามารถพบนกชนิดนี้ได้ทั่วไปทั้งในพื้นที่ภูเขา พื้นที่ราบและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ด้วยการกินผลไม้และเกสรดอกไม้เป็นอาหารทำให้สามารถพบเห็นนกเมจิโระตามต้นบ๊วยหรือซากุระที่กำลังออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้บ่อยกว่านกอื่นๆ 2. นกเขนน้อยข้างสีส้มหรือรูริบิตากิ (ルリビタキ, Himalayan Bluetail) นกเขนน้อยข้างสีส้มเป็นนกขนาดเล็กหากินในพุ่มไม้รกทึบ พื้นป่า และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ นกเพศผู้มีลำตัวด้านบนสีน้ำเงินสด ส่วนเพศเมียมีลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลอมเทา แต่ทั้งสองเพศมีแถบสีส้มบริเวณสีข้าง และมีหางเป็นสีฟ้าเหมือนกัน ในช่วงที่ดอกบ๊วยบานก็จะเห็นนกชนิดนี้บินมาเกาะตามกิ่งของต้นบ๊วย 3. นกติ๊ดหลังสีไพลหรือชิจูคาระ (四十雀 , Japanese tit) นกติ๊ดหลังสีไพลเป็นนกที่มีขนาดเล็กหลังสีเขียวไพล ขนที่หัวและคอสีดำและบริเวณใต้แก้มมีสีขาว นกชนิดนี้ชอบกระโดดหากินห้อยโหนตีลังกาได้อย่างคล่องแคล่วตามกิ่งไม้ พบได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะและบริเวณป่า ในช่วงที่ดอกบ๊วยบานก็มักจะพบเห็นนกตัวน้อยห้อยโหนอยู่ตามกิ่งของดอกบ๊วย แม้ว่าอากาศจะยังหนาวเย็นมากแต่ดอกบ๊วยก็เริ่มบานแล้ว หากมาญี่ปุ่นในช่วงนี้ลองไปชมดอกบ๊วยตามสวนสาธารณะและศาลเจ้าต่างๆ ดูค่ะ ในวันที่อากาศดีก็อาจจะโชคดีได้เห็นนกตัวน้อยเพลิดเพลินส่งเสียงจิ๊บๆ กินน้ำหวานจากดอกไม้ค่ะ สรุปเนื้อหาจาก chspmedia ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: รีวิวจุใจกว่า […]
ชวนรู้จัก “อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี (ムードフード)” ศัพท์อาหารติดเทรนด์ปี 2023
อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี หรือ Mood Food (ムードフード) เป็นคำศัพท์ด้านอาหารที่ติดเทรนด์ในญี่ปุ่นแห่งปี 2023 นี้ มารู้จักอาหารที่ทำให้อารมณ์ดีและวิธีดื่มหรือรับประทานเพื่อให้ดีต่อสุขภาพจากคำแนะนำของคนญี่ปุ่นกันค่ะ อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี (Mood Food, ムードフード) คืออะไร ในชีวิตประจำวันคนเรามีความเครียดหลากหลายทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และเรื่องจิปาถะ หากความเครียดสะสมมากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ นอกเหนือจากการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว การเลือกดื่มหรือรับประทานอาหารที่ส่งผลด้านบวกต่ออารมณ์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจเป็นอย่างมากในปีนี้ อาหารและเครื่องดื่มที่คนญี่ปุ่นจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี ได้แก่ ชาเขียว ชาสมุนไพร โกโก้ ช็อกโกแลต กล้วย และข้าวกล้องงอก เป็นต้น ซึ่งเครื่องดื่มและอาหารเหล่านี้มีส่วนผสมของสารอาหารที่ช่วยบรรเทาความเครียดและทำให้นอนหลับพักผ่อนได้สนิท นอกจากอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวแล้วการรับประทานของว่างก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสร้างความสดชื่นได้ ดังนั้นอาหารว่างก็จัดเป็นอาหารที่ทำให้คนญี่ปุ่นอารมณ์ดีด้วย วิธีดื่ม & วิธีทานที่ดีต่อสุขภาพ การดื่มเครื่องดื่มและรับประทานอาหารที่ชอบเป็นวิธีการที่คนจำนวนมากคุ้นเคยเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด แต่วิธีการรับประทานอาหารที่ทำให้อารมณ์ดีและดีต่อสุขภาพกายทำได้ดังนี้ ควรเลือกดื่มเครื่องดื่มชาเขียว ชาสมุนไพร และโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาลแทนอาหารว่างที่มีรสหวานหรือเค็มจนเกินไป ไม่ควรเลือกรับประทานเฉพาะอาหารที่ทำให้อารมณ์ดีเพียงอย่างเดียว แต่ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายเพื่อรับคุณค่าสารอาหารที่สมดุลต่อร่างกาย หากรับประทานของว่างเพื่อคลายความเครียดก็ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปจนส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม ทั้งนี้การมีเพื่อนคุยไปด้วยระหว่างรับประทานอาหารว่างจะช่วยทำให้ผ่อนคลายความเครียดได้ดียิ่งขึ้น อาหารที่ช่วยให้อารมณ์ดีเป็นอาหารที่ได้รับความสนใจจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมากในช่วงเริ่มต้นของปี 2023 เพราะช่วยผ่อนคลายความเครียดและทำให้นอนหลับได้สนิทซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง หากรู้สึกว่ามีความเครียดก็ลองทานอาหารที่ทำให้อารมณ์ดีพร้อมกับออกกำลังกายไปด้วย เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดและสร้างความสดชื่นในแต่ละวันดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก tenpos, allabout ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: อิ่มตาอิ่มพุง! จับคู่วิวใบไม้เปลี่ยนสีกับเมนูอร่อยในโทโฮคุ รู้จัก 5 Super Food ที่ผู้หญิงญี่ปุ่นบอกว่าดีต่อสุขภาพและความงาม เลิศรส หรูหรา รักษ์โลก! พาไปชิมอาหารคอร์สสุดหรูจากวัตถุดิบเหลือทิ้งที่ร้าน Armani Ristorante ป้ายยา! นั่งรถไฟ Local ตะลอนโทโฮคุชิวๆ ในฤดูหนาว
7 เคล็ดลับดูแลน้องแมวให้อยู่ดีมีความสุขตามฉบับคนญี่ปุ่น
หากคนเรามีความสุขก็จะทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีตามมาด้วย เช่นเดียวกับการดูแลน้องแมวเจ้านายตัวน้อยที่บ้าน หากเลี้ยงดูใส่ใจพวกมันให้มีความสุข พวกมันก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีอายุยืนอยู่กับเราไปนานๆ มารู้เคล็ดลับที่จะทำให้น้องแมวรู้สึกสบายใจและมีความสุขในทุกๆ วันจากคำแนะนำของทาสแมวชาวญี่ปุ่นกันค่ะ 1. จัดหาพื้นที่ส่วนตัวที่เพียงพอสำหรับน้องแมว แมวต้องการพื้นที่ของตัวเองเพื่อเดินเตร่อย่างอิสระ ปลอดภัยและมีความเงียบสงบ ดังนั้นจึงไม่ควรกักขังน้องแมวไว้ในพื้นที่จำกัดหรือในกรงขนาดเล็ก แต่ควรสร้างพื้นที่ที่ทำให้น้องแมวรู้สึกว่ามีอาณาเขตเป็นของตัวเองและไม่มีใครเข้าถึงได้ง่าย 2. กอดเบาๆ การกอดแมวทำให้มนุษย์มีความสุข แต่การกอดที่แน่นและบ่อยเกินไปทำให้น้องแมวรู้สึกอึดอัดได้ เลือกเวลากอดน้องแมวในตอนที่พวกมันอยากให้ทาสแมวตามใจและเข้ามาหา และกอดเบาๆ ไม่แน่นจนเกินไป 3. สอนสมาชิกน้อยในบ้านถึงวิธีการเป็นมิตรที่ดีกับน้องแมว แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ต้องการความรักและความเคารพจากผู้เลี้ยงและพวกมันไม่ใช่ของเล่น หากมีสมาชิกน้อยในบ้านก็ควรสอนให้พวกเขารู้ถึงวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องแมว เพื่อป้องกันไม่ให้ไปทำร้ายหรือรบกวนน้องแมวจนรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สบายใจ 4. ให้อาหารด้วยความใส่ใจ น้องแมวไม่ชอบอาหารที่จำเจและชอบเลือกกินอาหารโปรด วิธีการให้อาหารน้องแมวเป็นมื้อเล็กๆ วันละหลายมื้อ รวมถึงเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นอาหารเม็ดหรืออาหารกระป๋องสลับกันบ้าง จะทำให้น้องแมวมีความสุขในการกินอาหารมากกว่าการวางอาหารชนิดเดียวไว้ให้ทั้งวัน 5. เล่นกับน้องแมววันละอย่างน้อย 30 นาที การเล่นกับน้องแมววันละอย่างน้อย 30 นาทีจะช่วยกระตุ้นความขี้เล่นของน้องแมว และช่วยรักษาพฤติกรรมที่มีชีวิตชีวาของน้องแมวไว้ได้ การเล่นกับน้องแมวเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าที่คิดเพราะช่วยให้พวกมันคล่องแคล่วตื่นตัวตามสัญชาตญาณเดิม อีกทั้งยังทำให้พวกมันมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่กับเราไปนานๆ น้องแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความรักและความใส่ใจจากเจ้าของ การสร้างความสุขทางใจวันละเล็กวันละน้อยจะส่งผลให้น้องแมวมีความสุข และสุขภาพกายที่แข็งแรง เพื่อให้เจ้านายตัวน้อยที่น่ารักอยู่กับเราไปนานๆ ก็ลองใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อเสริมสร้างความสุขทางกายและทางใจให้แก่น้องแมวที่บ้านกันดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก msn ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: ญี่ปุ่นก็มีสายมูเตลู! กระเป๋าสตางค์สีอะไรที่ช่วยให้โชคด้านการเงินดีขึ้น? ทำความรู้จักพืชทนร้อนสีสันสวยงามที่คนญี่ปุ่นนิยมปลูกในฤดูร้อน คนญี่ปุ่นแนะนำ! 4 ข้อห้ามทำ ถ้าอยากประหยัดค่าไฟ 10 ที่พักสไตล์ Art Hotel นอนสบายถ่ายรูปสวย เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ
เสริมความแข็งแรงด้านร่างกายและสมองของเด็กๆ ได้ด้วยงาเพียงวันละ 1 ช้อนโต๊ะ!
อาหารหลายชนิดนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายแล้วยังส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านสมองและสุขภาพจิตของเด็กๆ ด้วย จากหนังสือ 医師が教える 子どもの食事 50の基本 (50 Basic children’s diets taught by doctor) หรือแปลเป็นไทยว่า 50 อาหารพื้นฐานที่คุณหมอแนะนำให้เด็กรับประทานที่เขียนโดยแพทย์ด้านกุมารเวช คุณหมอ Akiko Ito ได้แสดงให้เห็นว่าหนึ่งใน 50 อาหารที่ได้รับความสนใจว่าดีต่อสุขภาพกายและสมองของเด็กคือ “งา” มารู้กันว่างามีประโยชน์ต่อเด็กรวมถึงผู้ใหญ่อย่างไรกันค่ะ ประโยชน์ของงา งาเป็นเมล็ดธัญพืชที่อุดมไปแร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของสมอง ได้แก่ 1. แคลเซียม แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย 2. สังกะสี จากการศึกษาพบว่าหากร่างกายขาดแร่ธาตุสังกะสีจะทำให้เกิดภาวะรับรสและกลิ่นที่ผิดปกติและทำให้ร่างกายอ่อนแอป่วยได้ง่าย นอกจากนี้ สังกะสียังมีบทบาทสำคัญในด้านอารมณ์และจิตใจ โดยจากข้อมูลการทดสอบผลเลือดพบว่าเด็กและผู้ใหญ่ที่มีปัญหาด้านอารมณ์และร่างกายนั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากภาวะการขาดสังกะสี 3. สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากในงาช่วยยับยั้งการอับเสบภายในร่างกาย ป้องกันไม่ให้ป่วยง่าย และชะลอความแก่ จึงดีต่อข้อต่อและสมองของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ สารอาหารในงายังช่วยเสริมการเติบโตและการทำหน้าที่ของสมองเด็ก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและช่วยให้เด็กๆ มีสุขภาพผิวที่แข็งแรง วิธีการรับประทานงาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย แม้จะเป็นธัญพืชขนาดเล็กแต่งาเป็นธัญพืชที่ให้ปริมาณพลังงานสูง โดยงา 2 ช้อนโต๊ะให้ปริมาณพลังงาน 98 กิโลแคลอรี การรับประทานงาในปริมาณที่มากเกินไปนอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่ายแล้วก็ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย ดังนั้นปริมาณที่ควรรับประทานเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายคือวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทั้งนี้การรับประทานงาบดจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่มีอยู่ในงาได้ดี แต่ไม่ควรรับประทานงาพร้อมกับชาเขียว กาแฟ เมล็ดธัญพืชอื่นๆ และถั่วเหลือง เพราะเครื่องดื่มและอาหารเหล่านี้จะไปยับยั้งการดูดซึมสังกะสีเข้าสู่ร่างกาย วิธีการรับประทานงาอาจทำได้โดยผสมในสลัด โรยในนมหรือเมนูอาหารที่ชอบ คนญี่ปุ่นมีภาวะขาดแคลซียมและสังกะสีค่อนข้างสูง ประกอบกับเป็นสังคมที่แข่งขันกันทั้งการเรียนและการทำงาน ทำให้คนมีความเครียดได้ง่ายตั้งแต่เด็กจนส่งผลให้คนจำนวนมากมีภาวะซึมเศร้าเมื่อโตขึ้น นอกจากความรักความใส่ใจแล้วอาหารหลายชนิดก็ส่งผลต่ออารมณ์ สมองและจิตใจของเด็กๆ งาเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบดื่มนมหรือรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสีอื่นๆ เช่น หอยนางรมและปลาโบนิโตะ เป็นต้น เพื่อสุขภาพกายและจิตใจที่แข็งแรงลองใช้งาเป็นตัวเลือกอาหารในชีวิตประจำวันดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก diamond ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: […]
รู้วิธีบรรเทาและป้องกันอาการ “เวียนหัวบ้านหมุนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า” จากคุณหมอญี่ปุ่น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นนอนตอนเช้าแล้วรู้สึกเวียนหัว หน้ามืด บ้านหมุนและอาจถึงขั้นอาเจียน อาการดังกล่าวเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่รบกวนความผาสุกในชีวิตประจำวัน ใครที่ยังไม่รู้สาเหตุว่าอาการเหล่านี้เกิดจากอะไร สามารถหาอ่านเพิ่มได้ในบทความก่อนหน้านี้ค่ะ สาเหตุของอาการ “เวียนหัวบ้านหมุน” คืออะไร? หาคำตอบได้ในบทความ “รู้สาเหตุของ “อาการเวียนหัวบ้านหมุนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า” จากคุณหมอญี่ปุ่น” ส่วนในบทความนี้มารู้วิธีบรรเทาและป้องกันอาการเวียนหัวบ้านหมุนจากคุณหมอชาวญี่ปุ่นกันค่ะ วิธีบรรเทาอาการเวียนหัวบ้านหมุนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า หากตื่นเช้าขึ้นมามีอาการเวียนหัวบ้านหมุนและอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียน วิธีการเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ 1. นอนนิ่งๆ และไม่เคลื่อนไหวศีรษะ หากตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าเวียนหัวก็อย่าฝืนตัวลุกขึ้นยืน ให้นั่งหรือนอนพักในท่าที่สบายที่สุดก่อน การเคลื่อนไหวศีรษะจะทำให้เสียสมดุลของร่างกาย และทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น 2. ปิดไฟให้ห้องมืด เมื่อโดนแสง ข้อมูลที่ได้จากการมองเห็นจะถูกส่งจากเส้นประสาทตาไปยังสมองซึ่งอาจไปกระตุ้นให้อาการเวียนหัวรุนแรงขึ้น ดังนั้นหากตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการเวียนหัวให้หลับตาแล้วปิดไฟนอนนิ่งๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น 3. กดจุดที่ตำแหน่งด้านล่างของกระดูกหลังหู การกดจุดที่ตำแหน่งด้านล่างของกระดูกหลังหู (ตำแหน่งสีฟ้าดังรูป) จะช่วยบรรเทาอาการเวียนหัวได้ วิธีการทำโดยใช้มือกดเบาๆ ตรงบริเวณด้านล่างกระดูกที่อยู่หลังหู เป็นเวลา 30 วินาทีถึง 1 นาที จำนวน 3 ครั้ง จากนั้นใช้นิ้วมือจับใบหูสั่นเบาๆ หรือหมุนเป็นเวลา 5 วินาที โดยปกติอาการเวียนหัวจะดีขึ้น วิธีป้องกันอาการเวียนหัวบ้านหมุนและอาเจียนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า 1. นอนให้หัวยกสูงขึ้นเล็กน้อย ในกรณีที่รู้สึกเวียนหัวเพราะโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน ควรนอนยกหัวให้สูงขึ้นเล็กน้อยหรือให้ร่างกายท่อนบนเอียงขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ตะกอนหินปูนที่หลุดออกเคลื่อนที่เข้าสู่หูชั้นในได้ วิธีการดังกล่าวจะช่วยป้องกันอาการเวียนหัวบ้านหมุนได้ 2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนได้ ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งตอนก่อนเข้านอนและหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ทั้งนี้วิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำคือควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องรอให้รู้สึกหิวน้ำ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารเช้าทุกวันจะช่วยป้องกันอาการเวียนหัวเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าได้ดี 3. ไม่เครียดเกินไป หากเครียดมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อระบบประสาทอัตโนมัติและทำให้เกิดความผิดปกติในหูชั้นใน ซึ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้อาเจียนขึ้น วิธีป้องกันไม่ให้ตัวเองเครียดเกินไปทำได้โดยการออกกำลังกาย บริหารร่างกาย และอาบแสงแดด สิ่งเหล่านี้จะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี 4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีและทำให้เกิดอาการเวียนหัวเพราะหลอดเลือดก็เชื่อมต่อกับหูชั้นใน นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนน้อยยังส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการปวดหัว เวียนหัว และคลื่นไส้อาเจียนได้ หากมีอาการเวียนหัวบ้านหมุนเพียงอย่างเดียวแต่เกิดขึ้นบ่อยในตอนเช้าก็ควรไปปรึกษาแพทย์ด้านหูคอจมูกเพื่อรับคำแนะนำและรับยามารับประทาน […]
รู้สาเหตุของ “อาการเวียนหัวบ้านหมุนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า” จากคุณหมอญี่ปุ่น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้สึกเวียนหัว หน้ามืด บ้านหมุนและอาจถึงขั้นอาเจียน แม้อาการดังกล่าวจะมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความผิดปกติของอวัยวะภายในหูชั้นในที่ทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของร่างกาย แต่ก็มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่นกัน มารู้สาเหตุ วิธีการป้องกันและบรรเทาอาการเวียนหัวบ้านหมุนจากคุณหมอญี่ปุ่นกันค่ะ ทั้งนี้ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างยาวผู้เขียนขออนุญาตเขียนเล่าถึงวิธีป้องกันและบรรเทาอาการดังกล่าวในบทความถัดไปนะคะ สาเหตุของการเกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนและอาเจียนเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า 1. ร่างกายขาดน้ำ หากร่างกายขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการคล้ายโลหิตจาง เช่น มึนหัวและคลื่นไส้อาเจียน สาเหตุของการขาดน้ำเกิดจากร่างกายคนเราสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางเหงื่อและทางการหายใจในระหว่างการนอนหลับ เพื่อป้องกันอาการเวียนหัวบ้านหมุนจากร่างกายขาดน้ำจึงควรหมั่นดื่มน้ำให้เพียงพอ 2. โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal positional vertigo: BPPV) โรคนี้ทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนบ่อยที่สุด โดยมีสาเหตุมาจากการที่ตะกอนหินปูนหรือแคลเซียมในหูชั้นในซึ่งเกี่ยวข้องกับการทรงตัวของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลุดออกมาเมื่ออายุมากขึ้นและจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะก็จะทำให้มีการเคลื่อนที่ของเศษตะกอนแคลเซียมไปพร้อมกับของเหลวในหูชั้นใน และมีผลไปกระทบอวัยวะการทรงตัว ทำให้รู้สึกเวียนหัว โดยทั่วไปอาการเวียนหัวจากโรคนี้จะไม่รุนแรงและจะหายไปภายในไม่กี่วินาทีจนถึงสองนาที แต่หากยังรู้สึกเวียนหัวนานกว่านั้นก็ควรไปพบแพทย์หูคอจมูก 3. ความผิดปกติเมื่อมีการเปลี่ยนท่า การเปลี่ยนท่า เช่น ลุกยืนนั่ง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เวียนหัวตอนตื่นนอน สาเหตุของอาการเวียนหัวนี้มาจากการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และมีการรบกวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติทำให้ความดันเลือดลดลงต่ำ อาการดังกล่าวนี้เกิดมากในเด็กตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมปลายที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ โดยในหลายกรณีพบว่าอาการเวียนหัวจะหายไปในตอนบ่าย 4. ความดันโลหิตต่ำ คนที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำคือบุคคลที่มีค่าหัวใจในขณะที่หัวใจบีบตัวต่ำกว่า 100 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) และค่าหัวใจในขณะที่หัวใจคลายตัวน้อยกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท แม้ว่ามีค่าความดันโลหิตต่ำแต่ไม่จำเป็นต้องป่วยเสมอไป อย่างไรก็ตาม หากมีอาการ เช่น วิงเวียน ใจสั่น ปวดหัว รู้สึกไม่สบายตัวจนทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถนัด อาการเหล่านี้จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์โรคหัวใจและรับประทานยาที่มีฤทธิ์ในควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติและยาเพิ่มความดันโลหิต เป็นต้น 5. โรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือโรคมีเนียร์ (Meniere’s disease) โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีการคั่งของของเหลวในหูชั้นในเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนอย่างรุนแรงและจะเกิดขึ้นซ้ำๆ โรคนี้จัดว่าเป็นโรคที่รบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยมีอาการอื่นร่วม ได้แก่ หูอื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ไมเกรน ความดันในหูชั้นในเพิ่มขึ้น และสูญเสียการได้ยิน สำหรับสาเหตุของของเหลวที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในนั้นยังไม่ชัดเจน แต่น่าจะมีสาเหตุมาจากความเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสม […]
ข้อดีและข้อเสียของการที่ผู้สูงวัยเพศหญิงชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ตามลำพัง
การที่ผู้หญิงญี่ปุ่นอาศัยอยู่ตามลำพังไม่ใช่เพียงเพราะไม่แต่งงาน แต่รวมถึงการแต่งงานแล้วหย่าหรือสามีเสียชีวิต จากข้อมูลการสำรวจประชากรในญี่ปุ่นในปี 2020 พบว่าผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 65-74 ปี อาศัยอยู่ตามลำพัง 16.9% ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 75-84 ปีอาศัยอยู่ตามลำพังสูงสุดคือ 19.7% และผู้หญิงอายุเกิน 84 ปี อาศัยอยู่ตามลำพัง 11.6% โดยคาดว่าอัตราการอาศัยอยู่ตามลำพังจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ มาดูข้อดีและข้อเสียของการอาศัยอยู่ตามลำพังของผู้สูงอายุเพศหญิงชาวญี่ปุ่นกันค่ะ ข้อดีของการอาศัยอยู่ตามลำพัง หลังจากย่างเข้าสู่อายุ 65 ปี ผู้หญิงญี่ปุ่นจะอาศัยอยู่ตามลำพังมากขึ้นทั้งด้วยเหตุผลจากการไม่แต่งงาน สามีเสียชีวิตหรือการหย่ากันด้วยเหตุผลบางประการ ข้อดีของการอาศัยอยู่ตามลำพังของผู้หญิงสูงวัยคือ 1. สามารถใช้เวลาของตนเองได้อย่างเต็มที่ การอยู่กันเป็นครอบครัวมีสมาชิกหลายคนทำให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องรับภาระดูแลบ้าน ทั้งทำกับข้าว ซื้อของ เลี้ยงหลาน และทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น ทำให้มีเวลาส่วนตัวน้อยและไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ การอยู่อาศัยเพียงลำพังทำให้พวกเขามีโอกาสจะทำในสิ่งที่ชอบมากขึ้น เช่น ตื่นไปทำสวน ใช้เวลาออกกำลังกาย ไปข้างนอกทานอาหารอร่อยๆ หรือไปเที่ยวในที่ต่างๆ ได้ตามใจชอบโดยที่ไม่ต้องฟังความคิดเห็นใคร ไม่มีปัญหาเรื่องความเห็นที่ไม่ตรงกันเหมือนครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ร่วมกันหลายคน 2. สามารถใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ต้องกังวลหรือเกรงใจใคร หากอยู่เป็นครอบครัว เวลาจะใช้จ่ายเงินทีไรมักต้องคำนึงถึงสมาชิกในบ้านและเก็บออมเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรือไม่กล้าซื้อของที่ชอบแต่ไม่จำเป็นเพราะรู้สึกเกรงใจ แต่การอยู่ตามลำพังทำให้ตัดสินใจจ่ายเงินซื้อสิ่งต่างๆ และการบริการที่อำนวยความสะดวกให้แก่ตนเองได้ง่าย โดยไม่ต้องคิดมากว่าเงินที่จ่ายไปนั้นจะไร้ประโยชน์หรือไม่ ข้อเสียของการอยู่ตามลำพังเมื่ออายุมากกว่า 65 ปี แม้ว่าการอาศัยอยู่ตามลำพังจะทำให้มีการดำเนินชีวิตอย่างอิสระและเพลิดเพลินกับการมีชีวิตเป็นของตนเอง แต่คนเราไม่ได้แข็งแรงและทำในสิ่งที่ต้องการทำได้เสมอ ข้อเสียของการอยู่ตามลำพังคือ ความกังวลเรื่องปัญหาสุขภาพ ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และปัญหาในชีวิตประจำวันต่างๆ ดังนั้นเมื่อต้องการอาศัยอยู่ตามลำพังจึงควรหาตัวช่วยที่จะทำให้รู้สึกว่ามั่นคงปลอดภัย เช่น การใช้บริการจากศูนย์ให้การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย รวมถึงการมีมิตรสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านเพื่อไหว้วานให้ช่วยเหลือเรื่องในชีวิตประจำวันที่ไม่สามารถทำได้เหมือนตอนที่ยังแข็งแรง เช่น การทำความสะอาดบ้านและการเคลื่อนย้ายของหนัก เป็นต้น เงินบำนาญที่ผู้สูงอายุญี่ปุ่นได้รับหลังจากอายุ 65 ปี จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการเมื่อปี 2021 พบว่าผู้หญิงญี่ปุ่นมีอายุขัยเฉลี่ย 87.57 ปี ส่วนผู้ชายจะมีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าเพศหญิงประมาณ […]
คนญี่ปุ่นแนะนำ! 4 ข้อห้ามทำ ถ้าอยากประหยัดค่าไฟ
ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นแต่อัตราเงินเดือนยังคงเท่าเดิม ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านรวมถึงประหยัดไฟกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะประหยัดไฟอย่างเต็มที่แล้วแต่ค่าไฟก็ยังสูงลิ่วทุกเดือน ซึ่งแสดงว่ามีบางสิ่งที่เราอาจไม่รู้หรือมองข้ามไป มารู้สิ่งสำคัญที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าไม่ควรทำเมื่อต้องการประหยัดค่าไฟกันค่ะ 1. ตู้เย็นที่เต็มไปด้วยอาหาร เครื่องดื่มและเครื่องปรุงรสอาหาร คนส่วนใหญ่คิดว่าการประหยัดไฟจากการใช้ตู้เย็นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเนื่องจากต้องเสียบปลั๊กตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับคนจำนวนมากคิดว่าวิธีการประหยัดเงินที่ดีที่สุดคือการทำกับข้าวเองที่บ้าน จึงซื้อวัตถุดิบรวมถึงเครื่องปรุงเก็บไว้ในตู้เย็นจนเต็ม แต่ตู้เย็นที่เต็มอยู่เสมอจะใช้ไฟเปลืองมากกว่าตู้เย็นที่มีของน้อย ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำเมื่อต้องการประหยัดไฟตู้เย็นคือ ไม่ควรแช่ของกินไว้จนเต็มตู้เย็น เก็บอาหารที่หมดอายุออกทิ้งบ้าง ไม่ควรเปิดตู้เย็นบ่อยและเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานาน 2. รีดผ้าทีละชุด เตารีดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟ การเสียบปลั๊กเตารีดแต่ละครั้งจะใช้ไฟมากเพื่อตั้งอุณหภูมิเตารีดให้ร้อนพร้อมรีดผ้าเรียบ ดังนั้นจึงไม่ควรรีดผ้าทีละชุดแต่ให้รีดไว้ครั้งละหลายๆ ชุด ซึ่งจะประหยัดไฟได้เยอะ ทั้งนี้อย่าพรมน้ำเสื้อผ้าจนเปียกเพราะนอกจากจะทำให้เสียเวลาในการรีดผ้ามากขึ้นแล้วก็ยังทำสิ้นเปลืองไฟมากขึ้นด้วย 3. เปิดปิดเครื่องปรับอากาศบ่อยครั้ง การเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นช่วงที่ใช้ไฟสูงมากเพราะเครื่องต้องปรับอุณหภูมิในห้องให้เท่าอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ หากออกไปข้างนอกเพียงไม่นาน การเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้จะประหยัดไฟได้มากกว่าการปิดแล้วกลับมาเปิดใหม่ นอกจากนี้ ยังมีวิธีการประหยัดไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศดังนี้ – ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 28 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ประหยัดค่าแอร์ได้มากที่สุด แต่หากอยู่ร่วมกันหลายคนอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ก็อาจปรับอุณหภูมิลงเล็กน้อย – ทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศหรือแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพราะหากแผ่นกรองอากาศสกปรกหรือมีฝุ่นเกรอะ เครื่องปรับอากาศต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะขึ้นเพื่อทำให้ห้องเย็น – ปิดผ้าม่านเพื่อช่วยป้องรังสีความร้อนรวมถึงความหนาวจากภายนอก ทำให้ไม่ต้องตั้งอุณหภูมิต่ำหรือสูงกว่าปกติ (สำหรับเครื่องปรับอากาศที่เป็นตั้งแอร์และฮีตเตอร์ในเครื่องเดียวกัน) เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่สบายตัว จึงเป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่ง 4. ใช้เครื่องซักผ้าเก่าอายุเกินกว่าสิบปี คนจำนวนมากคิดว่าการใช้เครื่องซักผ้าเก่าอายุเกินสิบปี เป็นการประหยัดไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องใหม่ แต่จากที่รัฐบาลญี่ปุ่นออกแบบสอบถามเมื่อปี 2018 พบว่าอายุการใช้เครื่องซักผ้าโดยเฉลี่ยเป็นเวลา 10.8 ปี เทียบกับค่าไฟของเครื่องซักผ้าใหม่ที่ผลิตโดยผู้ผลิตเดียวกันพบว่าเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่จะช่วยประหยัดไฟได้ปีละประมาณ 8,000 เยน อีกทั้งยังมีฟังก์ชันที่ประหยัดน้ำด้วย หากใช้จนคุ้มค่าเป็นเวลาครบสิบปีแล้วการเปลี่ยนเครื่องซักผ้าใหม่น่าจะเป็นทางเลือกเพื่อเก็บเงินไว้ในกระเป๋าได้มากขึ้น ในยุคข้าวของแพงอะไรที่ประหยัดได้เราก็ทำกันไป การประหยัดไฟเป็นอีกหนึ่งการประหยัดที่ทุกบ้านทำกันมาตลอดเพื่อลดค่าใช้จ่ายรายเดือน หากพยายามประหยัดไฟแล้วแต่ค่าไฟยังแพงอยู่ก็ลองพิจารณาถึงสิ่งที่ไม่ควรทำข้างต้นดูค่ะ สรุปเนื้อหาจาก msn ขอแนะนำบทความนี้ด้วย: แจก 10 ที่พักฮอกไกโด โอ้โหราคาไม่เกิน 2000 ต่อคืน 15 ที่พักโอซาก้า […]
แจกสูตร “น้ำส้มสายชูหมักกับกล้วย” ตัวช่วยลดน้ำหนักและความดันโลหิตสูง
ปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนักคือการเสริมให้ระบบเผาผลาญพลังงานขั้นพื้นฐานทำงานได้ดีขึ้นเพื่อช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย มีเครื่องดื่มมากมายที่นักวิจัยและนักจัดอาหารชาวญี่ปุ่นแนะนำให้ดื่มขณะที่อยู่ในช่วงลดและควบคุมน้ำหนัก เครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าหากดื่มติดต่อกันทุกวันแล้วจะช่วยลดน้ำหนักและความดันโลหิตได้คือ “น้ำส้มสายชูหมักกับกล้วย” มารู้ถึงประโยชน์ของเครื่องดื่มดังกล่าว วิธีการเตรียมและวิธีดื่มกันค่ะ ประโยชน์ของเครื่องดื่มน้ำส้มสายชูหมักกับกล้วย กล้วยและน้ำส้มสายชูหมักเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพกายและความงาม กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งช่วยในการขับเกลือส่วนเกินออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำของร่างกาย และเสริมการไหลเวียนที่ดีของเลือดจึงช่วงป้องกันและบรรเทาโรคความดันโลหิตสูงได้ น้ำส้มสายชูหมักซึ่งรวมถึงน้ำส้มสายชูหมักข้าว แอปเปิ้ลไซเดอร์ และน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ต่างๆ อุดมไปด้วยกรดอะซิติกที่ช่วยเสริมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ช่วยย่อยสลายไขมัน และยับยั้งการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและช่วยในการลดน้ำหนักด้วย นอกจากจะช่วยในการลดน้ำหนักและความดันโลหิตแล้วการดื่มน้ำส้มสายชูหมักกับกล้วยทุกวันยังมีประโยชน์ต่อร่างกายคือ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และป้องกันไม่ให้ผมร่วง เป็นต้น วิธีการเตรียมเครื่องดื่มน้ำส้มสายชูหมักกับกล้วย วัตถุดิบ (สามารถเพิ่มปริมาณได้ตามสัดส่วน) กล้วย 1/2 ผล (ประมาณ 50 กรัม) น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม น้ำส้มสายชูหมักข้าวหรือแอปเปิ้ลไซเดอร์ 100 มิลลิลิตร วิธีทำ 1. ปอกกล้วยและหั่นให้มีขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร 2. ชั่งน้ำตาลทรายแดงและใส่ลงในภาชนะที่ทำจากแก้วทนความร้อนและมีฝาปิด เทน้ำส้มสายชูหมักลงไป คนจนน้ำตาลทรายแดงละลาย แล้วเติมกล้วยลงไป 3. นำภาชนะที่ใส่ส่วนผสมข้างต้นเข้าไมโครเวฟที่ 600 วัตต์ เป็นเวลา 30 วินาที หรือ 500 วัตต์ เป็นเวลา 40 วินาที จากนั้นนำภาชนะเครื่องแก้วออกจากไมโครเวฟและปิดฝาโดยทันที 4. วางภาชนะที่มีส่วนผสมน้ำส้มสายชูหมักและกล้วยไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นสามารถนำมาดื่มได้ทันที และเก็บส่วนที่เหลือไว้ในตู้เย็น หากยังดื่มไม่หมดภายในสองอาทิตย์ก็ให้นำกล้วยออกมาจากส่วนผสมของเหลว โดยสามารถนำกล้วยมารับประทานกับโยเกิร์ตได้ วิธีดื่ม วิธีดื่มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและช่วยลดความดันโลหิตสูง คือ การดื่มวันละ 2 ช้อนโต๊ะ โดยนำของเหลวที่ได้จากการหมักมาละลายน้ำ โซดา นมหรือนมถั่วเหลือง […]
แจกสูตรเผือกโซโบโระอันคาเกะ เมนูเพื่อสุขภาพสำหรับคนชอบเผือก
เผือกเป็นผักประเภทหัวที่คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อีกทั้งยังเป็นอาหารมงคลของคนญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ในความหมายว่าขอให้มีลูกหลานเยอะๆ นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้วเผือกยังมีคุณค่าต่อร่างกายมากมาย มารู้ประโยชน์ของเผือกและวิธีการทำ “เมนูเผือกราดหน้าหมู (ไก่) บด” หรือ “เผือกโซโบโระอันคาเกะ (里芋のそぼろあんかけ)” กันค่ะ ประโยชน์ของเผือกต่อร่างกาย เผือกอุดมไปด้วยกาแลคแตน (Galactan) ซึ่งเป็นสารประกอบของโปรตีนและน้ำตาล สารชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตและช่วยขจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด, มิวซิน (Mucin) สารที่ทำให้เผือกมีความเป็นเมือก สารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นกรดกลูคูโรนิก (Glucuronic acid) ในร่างกายของคนเรา ซึ่งมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดแผลที่ผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของตับ นอกจากนี้ เผือกยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารจึงช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี วิธีการเตรียมเผือก การปอกเผือกอาจทำให้มือคันได้ ดังนั้นก่อนปอกให้ใช้เกลือหรือเบกกิ้งโซดาทาบริเวณมือก่อน เมื่อปอกเปลือกแล้วให้ใช้เกลือคลุกเคล้าให้ทั่วเผือก วางไว้ประมาณ 2-3 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วนำไปปรุงอาหาร สำหรับวิธีการเก็บเผือกที่ซื้อมาเยอะนั้นทำได้โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อแยกเผือกและเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง วิธีทำเผือกโซโบโระอันคาเกะ วัตถุดิบ (สำหรับ 3 คน) เผือกหัวขนาดกลาง 5-6 หัว (หากชอบชิ้นเล็กๆ ก็หั่นครึ่งได้) หมูหรือไก่บด 80 กรัม แป้งมันฝรั่งหรือแป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนชา+น้ำสำหรับละลาย 2 ช้อนชา ส่วนผสมเครื่องปรุง น้ำ 1 1/2 ถ้วย ดาชิผง 1 1/2 ช้อนชา โชยุ 1 ช้อนโต๊ะ มิริน 1 ช้อนโต๊ะ วิธีการทำ 1. ปอกเปลือกเผือกแล้วใช้เกลือเล็กน้อยคลุกเคล้าให้ทั่วเผือก วางทิ้งไว้ 2-3 นาที จากนั้นจึงล้างเกลือออกจากเผือก 2. นำส่วนผสมเครื่องปรุงใส่ลงในหม้อ เติมเผือกลงไปต้มบนไฟกลาง ปิดฝาหม้อรอจนของเหลวในหม้อเดือด […]