หนึ่งในเรื่องสุดว้าวสำหรับชาวต่างชาติอย่างเราเมื่อรู้ว่ารถแท็กซี่ญี่ปุ่นมีประตูอัตโนมัติที่เปิดปิดเองได้นั้น เป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาเหมือนการทานข้าวด้วยตะเกียบสำหรับคนญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ แต่เพราะว่าบ้านเราไม่มีแท็กซี่แบบนี้นี่นาจะรู้สึกตื่นเต้นก็ไม่แปลกอะไรใช่ไหมล่ะคะ?
ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครของรถแท็กซี่ญี่ปุ่น
อย่างที่เรารู้กันดีว่าจะอยู่ประเทศไหนในโลกก็ยังต้องเปิดประตูแท็กซี่เองกันเป็นเรื่องปกติ แต่พอไปที่ญี่ปุ่นกลับมีแท็กซี่ที่มีประตูอัตโนมัติ!? จึงทำให้ชาวต่างชาติที่เคยไปญี่ปุ่นต่างแปลกใจกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก แถมยังประทับใจกับการบริการนี้อีกต่างหาก
และเมื่อไม่นานมานี้ตอนการแข่งขันกีฬาโอลิมปีก 2020 ที่กรุงโตเกียว ก็ได้มีการเปิดตัวรถแท็กซี่ที่มีประตูเลื่อนอัตโนมัติแล้วด้วย ถือว่าเป็นความสำเร็จในด้านการวิวัฒนาการแท็กซี่ครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
จุดเปลี่ยนของรถแท็กซี่ญี่ปุ่น
รถแท็กซี่ของญี่ปุ่นนั้นเดิมทีก็ไม่ได้เป็นประตูอัตโนมัติมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันค่ะ แต่เมื่ออุปสงค์ของเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นจึงมีความเห็นจากเหล่าคนขับรถแท็กซี่ว่า “จะสะดวกกว่าไหมถ้าเปิดประตูหลังได้จากตรงคนขับเลย” หรือ “ตอนรับผู้โดยสารกลัวจะเกิดปัญหากับรถที่ตามมาข้างหลัง” (เพราะแท็กซี่สมัยก่อนคนขับต้องลงมาเปิดประตูให้ลูกค้า) จึงทำให้บริษัท Toshin Tech จากจังหวัดไอจิที่ขณะนั้นกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเครือโตโยต้า ได้คิดริเริ่มและพยายามพัฒนาอยู่หลายครั้งจนสามารถวางจำหน่ายประตูอัตโนมัติออกมาได้สำเร็จ
แต่ในขณะนั้นกลับมีเสียงตอบรับในแง่ลบที่ไม่เห็นด้วย โดยบอกว่าเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็น ซึ่งเรียกได้ว่าคนญี่ปุ่นสมัยนั้นเคยชินกับวิธีการดั้งเดิมอยู่เหมือนกันค่ะ เลยทำให้บริษัทแท็กซี่ที่นำรถแท็กซี่แบบที่มีประตูอัตโนมัติเข้ามาใช้นั้นมีอยู่น้อยมาก
ทว่าจุดเปลี่ยนกลับเกิดขึ้นเมื่อมีกำหนดให้จัดงานโอลิมปิกขึ้นที่โตเกียวในปี 1964 โดยเล็งเห็นว่าอุปสงค์ของความต้องการใช้บริการแท็กซี่น่าจะสูงขึ้น บริษัทที่อยากจะ “ดึงดูดชาวต่างชาติด้วยการต้อนรับแบบญี่ปุ่น” จึงมีมากขึ้นด้วย จากนั้นการแข่งขันในธุรกิจแท็กซี่ก็เริ่มขึ้น จนในที่สุดทั่วญี่ปุ่นก็มีรถแท็กซี่ที่ใช้ประตูอัตโนมัติเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
รู้จักกับระบบการทำงานของประตูอัตโนมัติในรถแท็กซี่ญี่ปุ่น
1.แบบสุญญากาศ
ประตูอัตโนมัติแบบแรกจะเป็นระบบสุญญากาศ ซึ่งจะทำให้ประตูเปิดปิดโดยอัตโนมัติจากการใช้แรงดันลมจากเครื่องยนต์ เพื่อให้สามารถเปิดประตูด้านหลังฝั่งซ้ายได้เพียงแค่ดึงคันโยกตรงคนขับเท่านั้น
2.แบบบังคับมือ
ถึงจะเป็นระบบอัตโนมัติแต่ก็ต้องให้คนขับบังคับคันโยกที่อยู่ฝั่งคนขับเพื่อให้ประตูเปิดปิดเอง แต่วิธีนี้ดูจะใช้งานยากพอสมควรค่ะ เพราะหากเป็นวันที่มีลมแรงหรือฝนตกหนักจะต้องจับคันโยกไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้ประตูถูกลมตีจนอาจปิดเอง แต่ก็ยังถือว่าเป็นแบบที่นิยมเนื่องจากมีราคาถูกที่สุดค่ะ
3.แบบไฟฟ้า
แบบไฟฟ้าถือว่าใช้งานที่ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2 แบบข้างต้น เพราะสามารถควบคุมได้จากการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งแบบไฟฟ้านี้ถูกพัฒนาขึ้นมาหลังจากมีการผลิตรถยนต์แบบไฮบริดมากขึ้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นรูปแบบที่สะดวกสบายและทันสมัยมากที่สุดอีกด้วย
ทำไมไม่ส่งออกไปนอกญี่ปุ่นดูบ้างล่ะ?
ความจริงแล้วก็ได้มีการส่งออกประตูอัตโนมัตินี้ไปยังประเทศแถบยุโรปและอเมริกามาแล้วเช่นกัน แต่มีปัญหาเรื่องขนาดของรถที่ต่างกัน แม้จะพยายามปรับเปลี่ยนระบบให้เข้ากันแต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากรถของญี่ปุ่นมีขนาดเล็กกว่าทำให้พลังงานไม่เพียงพอ และต่อให้ติดตั้งได้ก็มีประสิทธิภาพลดลง รวมถึงการบำรุงรักษาที่ทำได้ยากไม่เหมือนรถญี่ปุ่น
ส่วนประเทศแถบเอเชียด้วยกันเองก็ได้มีการส่งออกไปที่มาเก๊าในปี 1995 และสิงคโปร์ในปี 2002 ด้วย แต่ประเทศที่ส่งออกไปได้มากที่สุดคือ ฮ่องกง (เริ่มส่งออกในปี 1973) เนื่องจากว่าใช้พวงมาลัยอยู่ฝั่งเดียวกัน และยังมีรถญี่ปุ่นที่ส่งออกไปที่ฮ่องกงจำนวนมากอีกด้วย
อุบัติเหตุจากรถแท็กซี่
ทุกสิ่งมักมี 2 ด้านเสมอ แม้ว่าจะมีการใช้ระบบอัตโนมัติให้สะดวกสบายมากขึ้นแต่หากใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัญหาจากประตูอัตโนมัติของแท็กซี่นี้เองก็เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งทีเดียว ดังนั้นคนขับรถแท็กซี่เองก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
1.ทุกครั้งที่จะเปิดประตูต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่ามีรถจักรยานหรือรถมอเตอร์ไซต์ตามหลังมาหรือไม่
2.ควรติดไฟ LED ที่ด้านในประตูสำหรับใช้งานเวลากลางคืน จะได้มองเห็นคันโยกหรือปุ่มได้โดยไม่ต้องคลำหา ซึ่งระหว่างที่จะเปิดประตูอาจเกิดบัติเหตุได้เช่นกัน
3.ส่งเสียงพูดให้ผู้โดยสารรู้ตัวก่อนเปิดประตู เพราะแม้คนขับจะระมัดระวังแล้ว แต่ก็มีผู้โดยสารบางคนที่ชอบเปิดประตูเอง ซึ่งส่วนมากมักเปิดเวลาที่จะลงจากรถโดยที่ไม่ได้มองรถที่ตามมาด้านหลังจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย คนขับจึงจำเป็นต้องส่งเสียงเพื่อเป็นการเตือนลูกค้าก่อน เพราะหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นคนขับแท็กซี่จะถูกตั้งข้อหาว่าขับรถโดยประมาทในทันที ซึ่งบางรายถึงกับโดนไล่ออกก็มีค่ะ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการเปลี่ยนประตูรถแท็กซี่เป็นระบบอัตโนมัตินั้นไม่ได้การขึ้นเพียงเพราะต้องการต้อนรับชาวต่างชาติในช่วงจัดกีฬาโอลิมปิกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการคำนึงถึงความปลอดภัยและเพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดขึ้นอีกด้วย และถ้าไม่กังวลเรื่องราคาที่แพงกว่าการโดยสารรถสาธารณะแบบอื่น ก็อยากให้ลองนั่งกันดูค่ะ
สรุปเนื้อหาจาก : style.nikkei.com, p-chan.jp