นับเป็นราชวงศ์ที่หายากและมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกก็ว่าได้ที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนราชวงศ์เลยกว่า 126 รัชกาลตลอด 2,700 ปี (อย่างไรก็ตามในปีค.ศ. 1336 และ 1392 ได้มีการแบ่งการปกครองเป็นแบบเหนือ-ใต้ ทำให้เวลานั้นญี่ปุ่นมีจักพรรดิถึง 2 พระองค์)

แม้แต่อาณาจักรโรมันอันเกรียงไกรก็ยังไม่สามารถอยู่รอดได้เกิน 1,000 ปี เรามาดูกันว่าทำไมระบอบจักพรรดิและราชวงศ์จึงสามารถอยู่คู่สังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานนับพันปี ซึ่งก็มีเหตุผลหลักๆ อยู่ 2 ข้อ คือ

  1. ในแต่ละยุคสมัย เหล่าผู้มีอำนาจในเวลานั้นได้ปกป้องครอบครัวของจักรพรรดิเอาไว้
  2. เพราะคนญี่ปุ่น (คนที่เกิดและโตในญี่ปุ่น) บูชาลัทธิชินโต จึงเคารพจักรพรรดิ ที่เชื่อว่าเป็นลูกหลานของเทพแห่งดวงอาทิตย์ด้วย

แม้ว่าจะมีผู้ปกครองที่มีแสนยานุภาพและอำนาจทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่าจักรพรรดิ อย่างเช่น ซามูไร ที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงปลายสมัยเฮอัน แต่ก็ไม่สามารถล้มล้างตระกูลของจักรพรรดิไปได้ ทำได้เพียงลดทอนอำนาจบางส่วนเท่านั้น เหตุผลก็คือ ประชาชนยังเชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นผู้สืบเชื้อสายจากเทพเจ้าในศาสนาชินโต ซึ่งมีคำเรียกแทนจักรพรรดิว่า โอคามิ (お上) หรือ เท็นโกะซามะ (天子様) ซึ่งหมายถึงโอรสแห่งสวรรค์นั่นเอง

สถานะของจักรพรรดิ: ไม่ใช่กษัตริย์ หากแต่เป็นจักรพรรดิ

จาก 26 ราชวงศ์ทั่วโลกที่ยังคงใช้ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชนั้น มีเพียงพระองค์เดียวที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิ (Emporor) นั่นก็คือสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

สถานะของจักรพรรดินั้นเคยมีอยู่ในอาณาจักรโรมันและและราชวงศ์ของจีน และในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ชาวตะวันตกที่เดินทางมายังญี่ปุ่นได้บันทึกถึงสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นโดยใช้คำว่า Emperor ที่แปลว่า จักรพรรดิ

เดิมที่คำว่า เทนโน (天皇) ที่แปลว่าจักรพรรดินั้น เป็นคำที่มาจากภาษาจีน โดยเริ่มใช้หลังยุคเมจิเป็นต้นมา แต่ก่อนหน้านั้น จักรพรรดิมักจะถูกเรียวว่า โอคิมิ (大王) ไดริ (内裏) มิคาโดะ (御門) ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ตัวคันจิ「帝」ที่อ่านว่า มิคาโดะ เหมือนกัน เพื่อบ่งบอกถึงสถานะของจักรพรรดิ แม้แต่ลูอีส ฟลอย มิชชันนารีชาวโปรตุเกสผู้มีชื่อเสียงจากการเขียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในสมัยของโอดะ โนบุนากะ ยังบันทึกชื่อของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นว่าเป็น “ไดริ” ที่แปลว่า จักรพรรดิ หาใช่คำว่า King ที่แปลว่า กษัตริย์

ระบอบจักรพรรดิทั่วโลกค่อยๆ ล่มสลาย

ในปี 1912 ราชวงศ์สุดท้ายของจีนคือราชวงศ์ชิง ซึ่งในเวลานั้นปกครองโดยจักรพรรดิผู่อี๋ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกปฏิวัติโดยนายพลเจียงไคเช็ก ระบอบจักรพรรดิของจีนที่สืบเนื่องมายาวนานถึง 2,100 ปีก็ถึงกาลล่มสลาย

ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงนั้นสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่อง The Last Emperor แม้ว่าพระราชวังต้องห้ามจะถูกยึดไป แต่ในปี 1934 ก็มีก่อตั้งจักรรดิแมนจู โดยมีอดีตจักรพรรดิผู่อี๋กลับขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการล่มสลายของแมนจู อดีตจักรพรรดิผู่อี๋ก็ถูกจับกุมโดยกองทัพแดงของโซเวียต และถูกส่งตัวกลับแผ่นดินจีนอีกครั้งเมื่อเหมาเจ๋อตุงเข้ามามีอำนาจ และอดีตจักรพรรดิผู่อี๋ก็ใช้ชีวิตอย่างสามัญชนจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต

ทางด้านจักรพรรดิรัสเซีย ราชวงศ์โรมานอฟเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองรัสเซียเป็นเวลายาวนานถึง 300 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1613-1917 จนเมื่อเกิดการปฏิวัติรัสเซียขึ้นในปี 1917  และในปี 1918 พระเจ้านิโคลัส ที่ 2 จักพรรดิองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระมเหสี รวมทั้งโอรสและธิดาทั้ง 5 ก็ถูกสังหารหมู่ ถือเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่มีจุดจบอันเลวร้ายราชวงศ์หนึ่งเลยว่าได้

เหตุใดระบอบจักรพรรดิในญี่ปุ่นจึงอยู่รอด

เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีคำถามในใจว่าเหตุใด ราชวงศ์​ญี่ปุ่นถึงเหลือรอดมาได้ยาวนานกว่า 2,700 ปี ในขณะที่ราชวงศ์อื่นๆ ถูกล่มสลายไปตามกาลเวลา

การมีอยู่ของราชวงศ์และจักรพรรดิได้ช่วยป้องกันความวุ่นวายครั้งใหญ่ในช่วงที่เกิดการฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ  แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนระบอบการปกครองให้อยู่ภายระบอบโชกุนอยู่พักหนึ่ง แต่ผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัยก็ยังคงให้ความเคารพครอบครัวของสมเด็จพระจักรพรรดิ ด้วยชุดความคิดที่ว่า พระองค์เป็นสมมุติเทพ และแม้ว่าในยุคสมัยใหม่ญี่ปุ่นจะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นายพลแมคอาเธอร์ก็ยังเลือกที่จะปกป้องสมเด็จพระจักรพรรดิไม่ให้รับโทษในฐานะอาชญากรสงคราม ทำให้ระบอบของจักรพรรดิรอดพ้นจากการถูกทำลายได้อีกครั้ง

ในละครเรื่อง The Emperor’s Cook ที่ออกอากาศทางช่อง TBS นายทหารชาวอเมริกันได้ถามหัวหน้าพ่อครัวของจักรพรรดิว่า “สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว การมีอยู่จักรพรรดิคืออะไร?” หัวหน้าพ่อครัวจึงได้ตอบไปว่า สำหรับเขาแล้ว

“การมีอยู่ของจักรพรรดิก็เหมือนซุปมิโสะ เพราะเป็นอาหารที่คนญี่ปุ่นทุกคนคุ้นเคยรสชาติมาตั้งแต่เด็ก ไม่จำเป็นที่จะต้องกินทุกวันก็ได้ แต่ถ้าวันใดขาดซุปมิโสะไปแล้วก็คงจะรู้สึกแปลกๆ”

หลักจากนั้น กองทัพของอเมริกันจึงเลือกที่จะคงสถานะของสมเด็จพระจักรพรรดิเอาไว้เพื่อให้ไม่ถูกประชาชนญี่ปุ่นต่อต้าน

ผลสำรวจความนิยมในระบบจักรพรรดิ

สถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น ได้เปรีบเทียบผลสำรวจระหว่างปีค.ศ. 1973 และ 2013 ในหัวข้อที่ว่า “คุณมีภาพจำแบบไหนต่อระบบจักรพรรดิ” ซึ่งมีผลลัพธ์ดังนี้

ปี 1973 (ปีโชวะที่ 48)

  • ความสนใจ 43-47%
  • ความเคารพนับถือ 30%
  • ชื่นชอบ 20%
  • มีความรู้สึกต่อต้าน 2%

การมีอยู่ของสมเด็จพระจักรพรรดิที่กลายมาเป็นเพียง “สัญลักษณ์” ทางการเมืองนั้น เป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดหลังการพ่ายแพ้สงคราม และแม้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะจะเป็นคนที่มีคาริสม่าดึงดูดใจผู้คน แต่กลับได้รับความเคารพนับถือจากประชนเพียง 30% และมีผู้คนชื่นชอบเพียงแค่ 20% เท่านั้น

ปี 2013 (ปีเฮย์เซที่ 25)

  • ความสนใจ 28%
  • ความเคารพนับถือ 34%
  • ชื่นชอบ 35%
  • มีความรู้สึกต่อต้าน 3%

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจนั้นมีแนวโน้มที่เป็นบวกมากขึ้นในอีก 40 ปีต่อมา แม้ว่าความสนใจเกี่ยวกับราชวงศ์จะลดลง แต่ความเคารพนับถือและความชื่นชอบในตัวของสมเด็จพระจักรพรรดินั้นกลับมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอยู่ 2 ประการคือ