ในญี่ปุ่นเครื่องดื่มสาเกหวานเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เด็กดื่มได้ผู้ใหญ่ดื่มดี นอกจากความหวานอร่อยแล้ว สาเกหวานยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายโดยเฉพาะต่อความงาม มารู้จักประโยชน์ของสาเกหวานหรืออามะซะเกะ และวิธีดื่มเพื่อให้ได้คุณค่าสูงสุดต่อร่างกายกันนะคะ
สาเกหวานหรืออามะซะเกะ คืออะไร
สาเกหวานหรืออามะซะเกะ (Amazake/甘酒) นั้นได้มาจาก 2 วิธี คือ
วิธีแรก เป็นการนำโคจิข้าว ซึ่งเป็นเชื้อราสายพันธุ์ Aspergillus oryzae ที่เจริญเติบโตอยู่บนเมล็ดข้าว มาหมักกับข้าวเหนียวนึ่งสุก เอนไซม์อะไมเลสจากราในโคจิจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลสายสั้น ๆ รวมถึงกลูโคส ทำให้ได้ของเหลวสีขาวขุ่นออกมา

วิธีที่สอง เป็นการนำเอากากสาเก หรือ สาเก คะสึ (Sake kasu) ที่หาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาละลายในน้ำอุ่น ผสมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อยลงไป

สาเกหวานอุดมไปด้วยวิตามินและกรดอินทรีย์ที่คนญี่ปุ่นดื่มได้ตลอดทั้งปี ทั้งในแบบร้อนเพื่อคลายหนาวและแบบเย็นเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยล้าจากความร้อน
ประโยชน์ของสากเกหวาน
• ช่วยป้องกันความเหนื่อยล้า เนื่องจากสาเกหวานอุดมไปด้วยกลูโคส วิตามิน B แร่ธา ตุและกรดอะมิโน ซึ่งจัดเป็นเครื่องดื่มอุดมคติในการช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าทั้งจากการทำงานและความร้อน
• ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากสาเกหวานเป็นเครื่องดื่มที่มีเส้นใยอาหารและน้ำตาลโอลิโกแซคคาไรด์ในปริมาณที่สมดุล ซึ่งจะช่วยลดแบคทีเรียร้ายและช่วยเพิ่มการเจริญของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
• ช่วยให้ผิวพรรณสวยงามผ่องใส เนื่องจากสาเกหวานอุดมไปด้วยวิตามิน B ไบโอติน สารต้านอนุมูลอิสระชื่อกรดเฟรูลิก (ferulic acid) ซึ่งช่วยส่งเสริมอัตราเมแทบอลิซึมของเซลล์และป้องกันการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้สาเกหวานยังอุดมไปด้วยกรดโคจิก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการสร้างเมลานิน ส่งผลในการป้องกันกระและรอยด่างดำบนใบหน้า
• ช่วยในการลดน้ำหนัก สาเกหวานอุดมไปด้วยกลูโคส เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น สร้างความรู้สึกอิ่มและพึงใจ การดื่มก่อนอาหารจะช่วยลดความอยากอาหาร อีกทั้งใช้ดื่มแทนอาหารมื้อเช้าได้ การดื่มสาเกหวานก่อนอาหารแม้จะลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลง แต่ยังทำให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนจากสาเกหวานได้
วิธีการดื่มสาเกหวานให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด
1. ปริมาณที่ดื่ม
แม้ว่าจะมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่การดื่มสาเกหวานในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไปตามไปด้วย ปริมาณการดื่มที่ดีคือครั้งละประมาณ 50-120 มิลลิลิตร วันละไม่เกิน 200 มิลลิลิตร
2. เวลาที่ดื่ม
การดื่มในเวลาต่าง ๆ จะมีผลดีต่อร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่น
การดื่มตอนเช้า: ปริมาณกลูโคสที่สูงในสาเกหวานจะช่วยให้สมองตื่นตัวเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ อีกทั้งสาเกหวานยังช่วยเพิ่มอัตราเมแทบอลิซึมของร่างกายและช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก
การดื่มตอนเที่ยง: น้ำตาลกลูโคสและวิตามิน B จะช่วยสร้างความสดชื่นให้แก่ร่างกาย เพิ่มสมาธิในการทำงานหรือการเรียนหนังสือ
การดื่มตอนเย็น: สารอาหารในสาเกหวานจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการทำงานและช่วยให้หลับสนิท
3. อุณหภูมิของสาเกหวาน
หากเป็นสาเกหวานที่ทำเอง การอุ่นสาเกหวานให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส จะทำให้เอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่อยู่ในสาเกหวานทำงานได้ดีที่สุด แต่หากเป็นสาเกหวานสำเร็จรูปที่หาซื้อได้จากซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในญี่ปุ่น การทำงานของเอนไซม์จะถูกยับยั้งโดยความร้อน แต่คุณค่าอาหารอื่นยังคงอยู่ ดังนั้นสามารถเลือกอุณหภูมิที่จะดื่มได้ตามชอบ
สาเกหวานเป็นเครื่องดื่มที่คนญี่ปุ่นนิยมและนำมาปรับรับประทานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เค้ก โยเกิร์ต ฟรุตสลัด และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เช่น คิทแคท เป็นต้น บ้านเราก็สามารถหาสาเกหวานได้จากซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป แต่ผู้เขียนนึกถึงข้าวหมากซึ่งมีกระบวนการหมักที่คล้ายกันและมีคุณค่าอาหารที่ใกล้เคียงกัน หากเราพัฒนาแป้งข้าวหมากให้อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ดีและหาซื้อรับประทานง่าย เราก็ไม่ต้องง้อสาเกหวานญี่ปุ่นค่ะ
สรุปเนื้อหาจาก: kawashima-ya