วันนี้ ANNGLE พาเพื่อนๆ มาเที่ยวจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู ภูมิภาคโทโฮคุ นั่นก็คือ จังหวัดอาโอโมรินั่นเองค่ะ! พูดถึงจังหวัดอาโอโมริก็ต้องนึกถึงแอปเปิ้ล และเทศกาลยักษ์ใหญ่อย่างเทศกาลเนบุตะ มัตสึริ รวมถึงภูเขาชิราคามิ แหล่งมรดกโลกที่มีต้นบีชที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโอบล้อมไปด้วยป่าเขามากมาย เพื่อนๆ คนไหนมีใจรักธรรมชาติล่ะก็ อาโอโมริคือทางเลือกที่ดีที่สุด มีที่ไหนให้เที่ยวกันบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ!
1. ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城)
ปราสาทฮิโรซากิแต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลซึการุ เป็น 1 ใน 7 ปราสาทที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตัวปราสาทประกอบไปด้วย ประตูปราสาท คูปราสาท และป้อมตามมุมปราสาท ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณ เช่น ชุดเกราะซามูไร แม้ปัจจุบันตัวปราสาทจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ก็ได้รับการบูรณะบริเวณฐานปราสาทขึ้นมาใหม่ และที่น่าทึ่งคือวิธีการบูรณะที่ใช้การยกตัวปราสาทออกจากฐานไปตั้งบริเวณข้างๆ โดยไม่ได้รื้อถอน ถือเป็นภาพที่แปลกตามากสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อนๆ ลองนึกภาพปราสาทที่เหลือแต่ฐาน แต่ตัวปราสาทกลับวางอยู่ข้างๆดูสิคะ ซึ่งวิธีการบูรณะแบบนี้มีแค่ปราสาทฮิโรซากิเท่านั้น และปัจจุบันปราสาทแห่งนี้กลายเป็นสวนสาธารณะฮิโรซากิที่เต็มไปด้วยต้นซากุระกว่า 2,500 ต้น อีกทั้งบริเวณรอบๆ ยังมีเรือเช่าให้พายชมวิว หรือพื้นที่สำหรับนั่งปิกนิก ยิ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาเยอะแยะเลยล่ะค่ะ ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมดอกซากุระที่ดีสุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นนั่นเอง
View this post on Instagram
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. และปิดทำการในวันที่ 24 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 310 เยน เด็ก 100 เยน วิธีการเดินทางจากสถานี JR Hirosaki เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส Dotemachi Roop Bus บริเวณหน้าสถานี แล้วลงที่ป้าย Shiyakusho mae ได้เลย
ข้อมูลเพิ่มเติม hirosaki-kanko
2. พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (ねぶたの家)
เมื่อพูดถึงจังหวัดอาโอโมริ ไม่มีใครไม่รู้จักเทศกาลเนบูตะมัตสึริ หรือเทศกาลแห่โคมไฟอันยิ่งใหญ่ ที่จัดขึ้นในเมืองโอมินาโตะ จังหวัดอาโอโมริ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี เหล่าโคมไฟรูปร่างต่างๆ เช่น ซามูไร เทพเจ้า ปีศาจ หรือแม้กระทั่งสัตว์น่ารักๆ จะถูกดึงขึ้นให้ลอยบนท้องฟ้าสูงกว่า 10 ฟุต และเมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์นี้ เพื่อนๆ จะสะดุดตากับตัวอาคารที่ถูกตกแต่งด้วยแผ่นโลหะสีแดง ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเทศกาลเนบูตะมัตสึริ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเดินชมภาพถ่ายของเทศกาลในแต่ละปี รวมถึงเหล่าโคมไฟสีแดงอันโดดเด่นรูปปลาทองสีแดง ที่มีตั้งแต่ขนาดใหญ่เท่าของจริงไปจนถึงขนาดจำลองที่ย่อส่วนมาอีกที ถือเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้เลยละค่ะ นอกจากนี้เราจะได้เห็นเกี้ยวที่ใช้ในขบวนพาเหรดอีกด้วย เป็นงานประณีตที่สวยงามสุดๆไปเลยล่ะค่ะ ในช่วงวันหยุดเพื่อนๆ ยังสามารถเข้าชมการแสดงเต้นรำ ประกอบกับดนตรีพื้นบ้านที่หาชมได้แค่ที่นี่อีกด้วย
View this post on Instagram
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. ปิดทำการในช่วงวันหยุดสิ้นปี และ วันที่ 9-10 สิงหาคมหรือช่วงเทศกาลเนบูตะมัตสึรินั่นเอง ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละ 600 เยน เพื่อนๆ สามารถเดินจากสถานีรถไฟ JR Aomori Station ไปทางทิศเหนือประมาณ 5 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม nebuta
3. ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (十和田市現代美術館)
ภายในศูนย์ศิลปะโทวาดะมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับงานศิลปะจากทั่วทุกมุมโลก เปรียบเสมือนการจำลองเมืองเมืองหนึ่งผ่านตัวอาคารที่ใช้เป็นห้องแสดงผลงาน และเมื่อเข้าไปข้างในเพื่อนๆ จะสามารถเห็นถึงโครงสร้างที่แตกต่างระหว่างอาคารแต่ละหลัง ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้ด้วยทางเดินกระจก ส่วนภายนอกตัวอาคารประติมากรรมที่โดดเด่นสะดุดตาคงไม่พ้นเจ้าม้าที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองนั่นเองค่ะ และสำหรับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เพื่อนๆ พลาดไม่ได้เลย คือการตกแต่งไฟยามค่ำคืน ตั้งแต่เวลา 21.00 น.เป็นต้นไป ทั่วทุกอาหารและประติมากรรมต่างๆที่ตั้งอยู่กลางแจ้งจะสะท้อนแสงออกมานั่นเอง
View this post on Instagram
ศูนย์ศิลปะโทวาดะเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ปิดทำการทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดสิ้นปี ค่าธรรมเนียมในการเข้าชมคนละ 510 เยน หากวันไหนมีนิทรรศการพิเศษเพื่อนๆ สามารถซื้อตั๋วชมรวมกันได้เลย ในราคา 1,000 เยน การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสที่วิ่งระหว่าง Shinchinohe Towada Station และ Towada City แล้วลงที่ป้าย Towada shi Chuo หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม towadaartcenter
4. แหล่งโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า (三内丸山遺跡)
พื้นที่ทางโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า เป็นพื้นที่ทางโบราณคดีที่อุดมสมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น บริเวณนี้นักโบราณคดีค้นพบซากหลังคา บ้านเรือนในสมัยโจมง หรือ 10,000-2,000 ปีที่ผ่านมา และยังมีอีกหลายบริเวณที่ยังต้องสำรวจอยู่ข้างๆ โบราณคดีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โจมง จิยุคัง ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่ถูกขุดพบบริเวณพื้นที่แห่งนี้ พร้อมประวัติศาสตร์สมัยโจมง เกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ วิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้น รวมถึงบ้านเรือนที่ถูกค้นพบด้วย นอกจากนี้เพื่อนๆ ยังสามารถลองใส่เสื้อผ้าย้อนยุค พร้อมลองใช้สิ่งประดิษฐ์ที่เคยเป็นเครื่องมือของคนในสมัยนั้น และลองชิมอาหารท้องถิ่นได้อีกด้วย ไม่แน่ว่าที่นี่อาจได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่นอีกแหล่งหนึ่งก็ได้
View this post on Instagram
แหล่งโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. และปิดทำการในช่วงวันหยุดสิ้นปี สามารถเข้าชมได้ฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมค่ะ โดยเพื่อนๆ สามารถขึ้นรถบัสจาก Aomori Station แล้วลงที่ป้าย Sannai Maruyama Isekimae ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม annaimaruyama
5. เกาะคาบุชิมะ (蕪嶋神社)
เกาะคาบุชิมะ หรือเกาะนกนางนวล เนื่องจากเกาะแห่งนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของเหล่านกนางนวลหางดำ หรือ อุมิเนะโกะ ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติอีกด้วย และไม่ว่าจะแดดออก ฝนตก ลมพัดแรง เพื่อนๆ ก็ควรใส่หมวกหรือพกร่มมาด้วยนะคะ เพราะที่นี่มีนกนางนวลมากกว่า 40,000 ตัว ที่พร้อมจะปล่อยอุนจิลงบนหัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นระวังกันด้วยละ สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการมาชมนกนางนวลหางดำที่นี่ ต้องมาในช่วงเดือนมีนาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่เหล่านกนางนวลออกมาจับสัตว์ทะเลกินที่เกาะนี้ และจะบินจากไปในช่วงเดือนสิงหาคม เพราะฉะนั้นหากใครตั้งใจจะมาดูนกนางนวลโดยเฉพาะละก็วางแผนให้ดีๆ นะคะ ไม่งั้นมาแล้วไม่เจอเสียเที่ยวแย่เลย
View this post on Instagram
สำหรับที่นี่เพื่อนๆ สามารถเข้าชมได้ตลอดไม่เสียค่าธรรมเนียม การเดินทางเพื่อนๆ สามารถเดินจาก JR Hachinohe Line ใช้เวลาประมาณ 13 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม kabushimajinja
6. ภูเขาโอโซเรซัง (恐山)
ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่เชื่อมต่อระหว่างโลกหนึ่งกับอีกโลกหนึ่ง เพราะบรรยากาศของกลิ่นซัลเฟอร์ที่อบอวลอยู่ในอากาศ ประกอบกับสองข้างทางที่มีพระพุทธรูปเรียงราย และกังหันอันน้อยหมุนติ้วๆ รวมถึงคำกล่าวขานที่ว่าที่นี่เป็นสถานที่รวบรวมดวงวิญญาณ เพราะพื้นที่บางส่วนของยังคงมีกลุ่มควันแก๊สจากภูเขาไฟ กลิ่นกำมะถันและ น้ำพุร้อนไหลออกมา ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมักถูกเรียกว่า จิโกกุ ที่แปลว่านรก นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีศาลเจ้าของเทพเจ้าอิตะโกะ ที่เชื่อว่าสามารถสื่อสารกับเหล่าคนตายได้ ทำให้แถวนั้นมีของไหว้ผู้ตายวางอยู่ข้างๆ ด้วย ดังนั้นไม่แปลกเลยหากเพื่อนๆรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ยิ่งเพื่อนๆเดินลึกเข้าไปจะพบสะพานโค้งสีแดงที่ข้ามผ่านระหว่างแม่น้ำแซนซู ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้แหละค่ะที่เชื่อมต่อระหว่างโลกหนึ่งกับอีกโลกหนึ่งไว้ นอกจากนี้เพื่อนๆยังสามารถเดินสำรวจป่าตามเส้นทางสำรวจธรรมชาติได้ด้วย ซึ่งบริเวณนั้นมีน้ำพุร้อนอยู่ถึง 4 แห่งใครเดินป่ามาเหนื่อยๆ ก็มาพักแช่ตัวที่น้ำพุร้อนได้ นอกจากจะช่วยผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวดตามร่างกายแล้วยังช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหารด้วยนะ หากเพื่อนๆ คนไหนมีโอกาสมาช่วงวันที่ 20-24 กรกฏาคม ซึ่งตรงกับเทศกาล Osore-zan มีการแสดงที่ศาลเจ้าอิตะโกะ รวมถึงผู้คนมากมายที่หลั่งไหลกันเข้ามาสักการะบรรพบุรุษของตน
View this post on Instagram
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสจากสถานี JR Shimokita แล้วต่อรถบัสจาก Shimokita ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม mutsu-kanko
7. ภูเขาฮักโกดะ (八甲田山)
สำหรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ป่าไม้ ลำธาร ทะเลสาบ ภูเขาฮักโกดะ คือที่ๆ คุณตามหาค่ะ เนื่องจากภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของจังหวัดอาโอโมริ เรื่องความสวยงามของทิวทัศน์คงไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้นไม้ผลัดกันเปลี่ยนสีให้นักท่องเที่ยวได้เพลินเพลิน ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิที่นี่ก็เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดนิยม เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายภาพหรือวาดรูปธรรมชาติ ในฤดูหนาวที่นี่จะถูกหิมะปกหลุมจนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน รวมถึงต้นไม้ที่ถูกแช่แข็งจนกลายเป็น Snow Monster หรือ ปีศาจหิมะตามรูปร่างที่เปลี่ยนไป แถมยังเป็นลานสกีที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีออนเซ็นซูกายุ ที่สามารถจุคนได้เป็นจำนวนมากให้เพื่อนๆ ได้ผ่อนคลายกันด้วย หากใครไม่อยากเดินที่นี่ก็มีบริการกระเช้าให้นั่งขึ้นไปบนยอดเขา สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยละค่ะ
View this post on Instagram
ภูเขาฮักโกดะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.20 น. ส่วนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จะปิดให้บริการในเวลา 15.40 น. สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้บริการกระเช้าขึ้นภูเขาฮักโกดะ เที่ยวเดียวราคา 1,180 เยน ถ้าไปกลับ 1,850 เยน การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส JR Bus จาก Aomori Station หรือ Shin Aomori Station ไปยังทะเลสาบโทวาดะ ลงที่สถานีกระเช้าภูเขาฮักโกดะ หรือป้ายอื่นๆ ที่อยู่บริเวณเดียวกับภูเขา
ข้อมูลเพิ่มเติม hakkoda-ropeway
8. ลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流)
ลำธารโออิราเสะที่ยาวกว่า 14 กิโลเมตรนี้ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติโทวาดะฮาจิมันไท เห็นแค่รูปก็อยากไปแล้วใช่ไหมล่ะคะ เพราะลำธารโออิราเสะแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยนะ โดยเฉพาะช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน หรือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เหล่าใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่ม จะพากันเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีแดง ทำให้บรรยากาศบริเวณลำธารแห่งนี้สวยงามสุดๆ ไปเลยละค่ะ เนื่องจากลำธารโออิราเซะไหลมาจากทะเลสาบโทวาดะ เพื่อนๆ จึงสามารถเดินสำรวจป่าเลียบลำธารจากเมืองเนโนคูจิ ไปยังเมืองยาซูมิยะได้ เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร ไปกลับประมาณ 5 ชั่วโมง หรือใครอยากใช้บริการรถบัสรับส่ง ที่เลือกขึ้นและลงตามป้ายได้ มีแวะจอดริมทางให้เพื่อนๆได้ลงไปชมวิวบริเวณนั้นและยังสามารถชมน้ำตกที่ไหลออกมาจากผนังของหุบเขาได้ด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ดีที่สุดในการชมทะเลสาบโทวาดะเลยค่ะ
View this post on Instagram
สำหรับที่นี่เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส JR Bus Tohoku ที่ชานชาลา H16 จากสถานี JR Hachinohe ทางออกตะวันตก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที หรือจะนั่งรถบัส JR Bus Tohoku จากสถานี JR Aomori ที่ชานชาลา 11 ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 15 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม towadako
9. ตลาดปลาฟุรุกาวะ (古川市場 のっけ丼 青森魚菜センター)
ตลาดปลาขนาดใหญ่ของจังหวัดอาโอโมริ สองข้างทางของตลาดแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยแผงลอยจากสินค้าที่ส่งตรงมาจากทะเล เพื่อนๆ สามารถชิมอาหารทะเล เช่นปลาสด หรืออาหารท้องถิ่น ผักและผลไม้ตามฤดูกาล จะว่าไปแล้วขึ้นชื่อว่าตลาดปลาแต่กลับโด่งดังเรื่องอาหารการกิน ทั้งๆ ที่ภาพตลาดปลาแว๊บแรกคือเหมือนตลาดสดขายปลาอะไรทำนองนี้ ทว่าที่นี่มีการเปิดให้เป็นตลาดปลาที่คล้ายโรงอาหาร คือ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกทานอาหารทะเลสดๆ ได้ไม่จำกัด เรียกว่าการกินแบบ Nokkedon ส่วนอาหารที่มีจัดเตรียมไว้แล้วจะเรียกว่า Donburi คือการนำอาหารมาโปะลงบนข้าวพูนๆ สำหรับที่นี่เมนูยอดนิยมคงหนีไม่พ้นซาชิมิ ที่ทั้งอร่อยและราคาไม่แพงอย่างที่คิด!
View this post on Instagram
สำหรับวิธีทาน Nokkedon หรือ Donburi เพื่อนๆ ต้องซื้อตั๋วสำหรับถ้วยข้าวก่อน ซึ่งจะแบ่งเป็น แบบ 5 ใบ 540 เยน และแบบ 10 ใบ 1,080 เยน หลังจากนั้นจึงสามารถเดินเลือกหาอาหารได้ตามใจชอบ แล้วนั่งทานที่โต๊ะได้เลย บนโต๊ะก็มีเครื่องปรุงให้พร้อมแล้วด้วย เรียกได้ว่าบริการทุกอย่างจริงๆ สมกับเป็นโรงอาหารแห่งอาโอโมริตามคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ ที่นี่เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00 – 17.00 น. และปิดให้บริการทุกวันอังคาร เพื่อนๆ สามารถเดินจากสถานีรถไฟอาโอโมริมาทางตะวันออกเฉียงใต้ เพียง 5 นาที ก็จะถึงตลาดปลาแห่งนี้แล้วค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม aomori-ichiba
10. Hotel Apple Land Aomori (青森 南田温泉)
หากมาถึงจังหวัดอาโอโมริแล้ว ไม่รู้จะพักที่ไหน โดยเฉพาะคนที่ชอบทานแอปเปิ้ลยิ่งห้ามพลาด เราขอแนะนำโรงแรม Hotel Apple Land เมืองสึงารุเลยค่ะ! เนื่องจากแอปเปิ้ล เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ เจ้าของโรงแรมจึงปิ๊งไอเดียแปลกๆ ขึ้น ซึ่งเพื่อนๆ สามารถมาสัมผัสได้แค่ที่นี่เท่านั้น หากได้มาพักที่นี่แน่นอนว่าต้องได้แช่ออนเซ็นที่บ่อซึการุมินามิดะ โดยมีลูกแอปเปิ้ลลอยตุ๊บป่องอยู่เต็มไปหมด พร้อมน้ำร้อนที่ไหลมาจากถ่านไม้ไผ่เผา ที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้คงความสดชื่นเอาไว้ และด้วยความที่บ่อแห่งนี้เป็นบ่อแบบเปิด ระหว่างแช่ตัวในน้ำเพื่อนๆ สามารถสูดกลิ่นสายลม และชมวิวทิวทัศน์รอบๆ ไปพลางๆ ได้ นอกจากนี้จากบริเวณห้องพักยังสามารถมองเห็นวิวของภูเขาอิวากิ และ เทือกเขาชิราคามิได้ด้วย แถมยังได้ลองทานอาหารท้องถิ่นอย่าง Noresore Don ที่ทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้ามาพักในโรงแรม รวมถึงอาหารอื่นๆ ที่ใช้แอปเปิ้ลเป็นวัตถุดิบหลัก สมกับเป็น Apple Land จริงๆ ค่ะ
View this post on Instagram
เพื่อนๆ สามารถเดินทางจากสถานี Hirosaki โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Ou Line แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Konan Line มาลงที่สถานี Hiraga หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที ควรเข้าเช็คอินเวลา 15.00 – 22.00 น. และเช็คเอาท์เวลา 6.00 – 10.00 น. สำหรับราคาห้องพักขึ้นอยู่กับห้องพักที่เลือก ซึ่งเพื่อนๆ สามารถจองและเลือกห้องพักผ่านเว็บไซต์ตัวแทนจองที่พักออนไลน์ได้ด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม apple-land
จังหวัดอาโอโมริเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังหลงเหลือความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติให้เราได้เห็นกัน ออกไปกอดเขา กอดทะเลแล้ว อย่าลืมกอดตัวเองกันด้วยนะ เพราะสภาพอากาศที่อาโอโมริหนาวถึงขั้นติดลบเลยก็มี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดติดกับฮอกไกโด ดังนั้นเพื่อนๆ อย่าลืมเช็คสภาพอากาศ และเตรียมเสื้อผ้ามาให้เหมาะสมก่อนมาเที่ยวด้วยนะคะ
ผู้เขียน baiosfalim