นั่งเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากเที่ยวให้คุ้มที่สุด ซึ่งนิยามคำว่า “คุ้มที่สุด” ของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป บ้างก็เป็นการชิมของอร่อยให้หลากหลาย บ้างก็เป็นการเที่ยวชมวิวและสถานที่สวยๆ และบ้างก็เป็นการตระเวนเที่ยวจังหวัดในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด แต่จะดีแค่ไหน? ถ้าเราจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ครบทุกความคุ้มที่สุดไว้ได้ในทริปเดียว!
แพลนตะลุยเที่ยวโทโฮคุแบบครบรสทั้ง 6 จังหวัดใน 5 วัน
ในบทความนี้เราจะขอแนะนำแพลนทริปเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุ (東北地方, Tohoku) ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วย 6 จังหวัดได้แก่อาโอโมริ อาคิตะ อิวาเตะ ยามากาตะ ฟุกุชิมะ และมิยางิ ซึ่งแต่ละจังหวัดล้วนเต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม วัฒนธรรมที่เปี่ยมมนต์ขลัง ของอร่อยท้องถิ่นเลิศรส และเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลจนสามารถเที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ
แพลนทริปนี้จะเป็นแพลนทริปที่สามารถเที่ยวโทโฮคุได้สนุกเต็มที่อย่างไม่เกี่ยงฤดูกาล โดยมีตัวช่วยพิเศษคือตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ตั๋วพาสของ JR East ที่สามารถใช้นั่งรถไฟรอบโทโฮคุได้อย่างไม่จำกัดภายในเวลา 5 วันติดกัน ทั้งยังสามารถใช้จองที่นั่งและขึ้นรถไฟธีมพิเศษ Joyful Train ได้ฟรีอีกด้วย!
ทั้งนี้ ทริปนี้เป็นทริปแนวผจญภัยที่เราจะเที่ยวรอบ 6 จังหวัดของโทโฮคุใน 5 วันและจะมีการเช็คอินและเช็คเอ้าท์โรงแรมในทุกวัน ดังนั้นเราขอแนะนำให้เพื่อนๆ แพ๊คกระเป๋าให้คล่องตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สามารถสนุกกับทริปนี้ได้อย่างเต็มที่
ทริปนี้เหมาะกับใคร?
ทริปนี้เหมาะกับคนที่อยากจัดทริปนั่งรถไฟเที่ยวญี่ปุ่นแทนการเช่ารถขับ และเหมาะสำหรับคนที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นแบบเก็บไฮไลท์และจังหวัดในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดในเวลาและงบที่จำกัด
ทั้งนี้ ทริปนี้เหมาะกับการเที่ยวเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีความคล่องตัว และอาจไม่เหมาะกับการเดินทางในกลุ่มที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
ถ้าพร้อมแล้ว มาดูแพลนทริปเที่ยวโทโฮคุแบบสนุกคุ้มสุดๆ ตลอด 5 วันกันเลยค่ะ!
วันที่ 1 ท่องเมืองซามูไรไอสึวากามัตสึ
เราตั้งต้นทริปกันที่สถานี Tokyo ซึ่งเป็นสถานีที่เชื่อมกับภูมิภาคโทโฮคุ ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความสนุกหลากหลายที่เราจะไปลุยกันในทริป 5 วันนี้
สำหรับวันที่ 1 นี้ หลังออกจากโตเกียวเราจะตรงไปยังไอสึวากามัตสึ (会津若松, Aizu-Wakamatsu) เมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดฟุกุชิมะที่มีชื่อเสียงในฐานะเมืองแห่งตำนานหนึ่งในกลุ่มซามูไรกลุ่มสุดท้ายของญี่ปุ่น โดยนอกจากซามูไรและปราสาทญี่ปุ่นที่ถูกใจสายวัฒนธรรมแล้ว ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามน่าเดินและของอร่อยที่ถูกใจสายชิมแน่นอน!

เกี่ยวกับการเดินทางในเมืองไอสึวากามัตสึ
View this post on Instagram
ในการเที่ยวรอบมืองไอสึวากามัตสึนี้ เพื่อนๆ สามารถใช้บริการรถบัสรอบเมือง Haikara-san (ハイカラさん, รถบัสสีฟ้า) และ Akabe (あかべぇ, รถบัสสีแดง) ได้เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นในการเที่ยว โดยมีทั้งราคาตั๋วรถบัสปกติ (ผู้ใหญ่ 210 เยน, เด็ก 110 เยน) และตั๋วเหมาวัน (ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก 300 เยน) ให้เลือกซื้อกันได้ตามความสะดวก
SPOT 1: Tsuruga-jo Kaikan
View this post on Instagram
เมื่อมาถึงสถานี Aizu-Wakamatsu จะเป็นเวลาช่วงมื้อกลางวันพอดี ดังนั้นก่อนจะลุยเดินเที่ยวเมือง เรามาเติมพลังกันด้วยมื้อกลางวันที่ Tsuruga-jo Kaikan (鶴ヶ城会館) ศูนย์ร้านอาหารและสินค้าเล็กๆ ข้างปราสาทสึรุกะที่เป็นจุดท่องเที่ยวแรกของเรากัน
Tsuruga-jo Kaikan นี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าทิศเหนือของปราสาทสึรุกะ โดยต้องนั่งรถบัส Haikara-san จากสถานีรถไฟมาลงที่ป้าย Tsurugajo Kitaguchi (鶴ヶ城北口) สำหรับเมนูที่แนะนำคือ คัตสึด้งราดซอส ที่เป็นของอร่อยประจำเมือง แต่ถ้าหากชอบเมนูเส้น ที่นี่ก็มี คิตาคาตะราเมง (喜多方ラーメン, Kitakata Ramen) ราเมงซอสโชยุที่ติดอันดับ3 ราเมงยอดนิยมของญี่ปุ่นและมีต้นกำเนิดในจังหวัดฟุกุชิมะแห่งนี้
หลังมื้ออาหารกลางวัน ถ้ามีเวลา เพื่อนๆ สามารถสนุกกับกิจกรรมระบายสีตุ๊กตาวัวแดง “อะกะเบโกะ (赤べこ, Akabeko)” ของเล่นเก่าแก่ท้องถิ่นและเครื่องรางประจำจังหวัดฟุกุชิมะนี้ได้ด้วย โดยจะมีมุมกิจกรรมระบายสีใน Tsuruga-jo Kaikan ให้ไปร่วมสนุกกันได้ระหว่างรออาหารย่อย
Tsuruga-jo Kaikan (鶴ヶ城会館)
ที่อยู่: 4-47 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan
เวลาทำการ: 10.00 – 16.00 น.
วันหยุด: ไม่มี
Website: tsurukan.com
เมื่อชาร์จพลังกันแล้ว ก็ไปกันที่ปราสาทสึรุกะ จุดหมายปลายทางแรกของเรากันเลย!
SPOT 2: ปราสาทสึรุกะ สัญลักษณ์แห่งไอสึวากามัตสึ

จุดท่องเที่ยวแรกของวันนี้คือปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle) ปราสาทอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไอสึวากามัตสึแห่งนี้ และเป็นปราสาทแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่สร้างด้วยกระเบื้องหลังคาสีแดง
ปราสาทสึรุกะถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1384 และมีชื่อเสียงในฐานะป้อมปราการที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถทนการปิดล้อมนานนับเดือนในสงครามโบชินปีค.ศ. 1868 แม้จะผ่านความเสียหายและการซ่อมแซมมาหลายครั้ง ปัจจุบันปราสาทสึรุกะได้ถูกบูรณะให้กลับมาสวยงามดังเดิม ทั้งยังเปิดเป็นพื้นที่พิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปได้ขึ้นไปชมวิวพาโนรามาของเมืองไอสึวากามัตสึได้จากชั้นบนสุดของปราสาท
นอกจากนี้ ปราสาทสึรุกะยังเป็นสถานที่จัดอีเว้นท์ยอดนิยมประจำฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลชมใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วง และเทศกาลประดับเทียนในฤดูหนาว
ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle)
ที่อยู่: 1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan
เวลาทำการ: หอปราสาทเปิดให้เข้าได้ 8.30 – 17.00 น. (Last Entry 16.30) และในช่วงกลางคืนสามารถชม Light-up ปราสาทได้
วันหยุด: ไม่มี
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 410 เยน, เด็ก 150 เยน, ค่าเข้าปราสาทที่รวมค่าเข้าห้องน้ำชารินคาคุ 520 เยน
SPOT 3: ห้องน้ำชารินคาคุ

ห้องน้ำชารินคาคุ (茶室麟閣, Rinkaku Teahouse) เป็นห้องน้ำชาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของปราสาทสึรุกะและถูกสร้างขึ้นโดยไดเมียวผู้ครองแคว้นไอสึชื่อกาโม อุจิซาโตะ (蒲生 氏郷, Gamou Ujisato) เพื่อเป็นเกียรติแก่เซ็น โชอัน (千少庵, Sen Shouan) อาจารย์พิธีชงชาและบุตรชายของเซ็น โนะ ริคิว (千利休, Sen no Rikyuu) อาจารย์พิธีชงชาคนสำคัญของญี่ปุ่นและอาจารย์พิธีชงชาของไดเมียวกาโม อุจิซาโตะเช่นกัน นอกจากเพื่อเป็นเกียรติแก่เซ็น โชอันแล้ว ห้องน้ำชารินคาคุยังถูกสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ความนิยมในพิธีชงชาอีกด้วย
ที่ห้องน้ำชารินคาคุนี้ เพื่อนๆ สามารถเพลิดเพลินไปกับชาเขียวและขนมญี่ปุ่น พร้อมๆกับชมวิวสวนญี่ปุ่นสวยๆ เป็นบรรยากาศที่สุนทรีย์สมกับที่ห้องน้ำชานี้สร้างมาเพื่ออุทิศแก่อาจารย์พิธีชงชาอย่างแท้จริง
ห้องน้ำชารินคาคุ (茶室麟閣, Rinkaku Teahouse)
ที่อยู่: 1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan
เวลาทำการ: 8.30 – 17.00 น. (Last Entry 16.30)
วันหยุด: ไม่มี
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 210 เยน (สามารถซื้อตั๋วที่รวมค่าเข้าปราสาทและค่าเข้าห้องน้ำชารินคาคุได้ที่ราคา 520 เยน),
นักเรียนประถมและมัธยมต้นเข้าฟรี
ดื่มชาที่เสิร์ฟพร้อมชุดขนมญี่ปุ่น 600 เยน
Website: www.tsurugajo.com (ภาษาอังกฤษ)
SPOT 4: ถนนนานุกะมาจิ
ถนนนานุกะมาจิ (七日町通り, Nanoka-machi Street) เป็นถนนที่ตั้งอยู่ทางเหนือของปราสาทสึรุกะ และเป็นถนนที่เรียงรายไปด้วยอาคารสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งให้บรรยากาศย้อนยุคแบบ Retro สุดๆ นอกจากเราจะได้ช้อปของที่ระลึกในบรรยากาศย้อนยุคแล้ว ถนนเส้นนี้ยังเหมาะกับการเดินเล่นสบายๆ พร้อมชมความสวยงามของเมืองแบบย้อนยุคที่ดูได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ และระหว่างเดินไปพลางเรายังสามารถชิมของอร่อยเช่นขนมหวานญี่ปุ่นที่ร้านค้าหรือค่าเฟ่เก๋ๆ ที่ต่างก็เตรียมเมนูเด็ดมาเสิร์ฟให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้ชิมอีกด้วย
ร้านที่ขอแนะนำบนถนนนานุกะมาจินี้ เช่น ร้าน Momen Ito (もめん絲) ร้านคราฟท์ที่ผลิตและจำหน่ายสารพัดของใช้น่ารักๆ ทำจากผ้าซึ่งคนรักงานฝีมือควรแวะเยี่ยมชมเป็นอย่างยิ่ง
View this post on Instagram
และสำหรับคนที่มองหาร้านคาเฟ่นั่งพัก อร่อยกับขนม ก็สามารถแวะที่ร้านนากะโดยะ (長門屋, Nagatoya) ร้านคาเฟ่ขนมญี่ปุ่นอายุกว่า 160 ปีที่ สามารถนั่งชิวและอร่อยกับขนมญี่ปุ่นโฮมเมดได้หรือจะแค่แวะซื้อขนมของฝากก็ได้
View this post on Instagram
แต่ถ้าหากอยากได้จุดที่ทั้งสามารถนั่งคาเฟ่ได้และช้อปของฝากได้ครบจบที่เดียว เพื่อนๆ สามารถไปที่คาเฟ่สถานีนานุกะมาจิ (駅カフェ, Eki Cafe) ที่มีทั้งโซนคาเฟ่และโซนขายของฝากที่เปิดให้บริการในบรรยากาศอาคารยุโรปย้อนยุคที่นั่งนานๆ ได้ไม่มีเบื่อเลย
View this post on Instagram
ถนนนานุกะมาจิ (七日町通り, Nanoka-machi Street)
ที่อยู่: 2 Nanokamachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0044, Japan
เวลาทำการ: 8.30 – 17.00 น.
วันหยุด: ไม่มี
Website: nanuka-machi.jp
เมื่อเที่ยวรอบเมืองไอสึวากามัตสึแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางออกจากเมืองในจังหวัดฟุกุชิมะนี้เพื่อไปยังเมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ จุดหมายการเดินทางต่อไปและจุดท่องเที่ยวในวันที่ 2 ของเรากัน
คืนนี้ค้างที่นี่: สถานี JR Morioka
สำหรับคืนแรกเราจะค้างกันที่โรงแรมใกล้ๆ สถานี JR Morioka ในจังหวัดอิวาเตะที่มีความครึกครื้นแม้ในยามค่ำคืน โดยเพื่อนๆ สามารถชิมของอร่อยขึ้นชื่อประจำถิ่นเช่นวังโกะโซบะ เรเมน และจาจาเมนที่เป็นเมนูเส้นสุดอร่อยได้ สำหรับโรงแรมนั้น หนึ่งในโรงแรมที่ขอแนะนำคือ Hotel Metropolitan Morioka โรงแรมติดกับสถานี JR Morioka ที่มีบริการสะดวกครบครันเหมาะกับการพักชาร์จแรงจากการเดินทางวันแรกเป็นอย่างยิ่ง ราคาต่อคืนสำหรับห้องเดี่ยวอยู่ที่ประมาณ 13,000 เยน (3,900 บาท)
วันที่ 2 ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองโมริโอกะ
วันที่ 2 นี้เราจะมาปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองโมริโอกะเมืองหลักแห่งจังหวัดอิวาเตะที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกัน โดยเส้นทางจะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานในเมืองแบบชิวๆ ที่ไม่ได้สมบุกสมบันอะไร เพราะงั้นแต่งตัวสวยๆหล่อๆ แล้วออกเดินทางกันได้เลย
ก่อนอื่นเราต้องไปเช่าจักรยานที่ Hello Cycling (ハローサイクリング チャリオ) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี Morioka กันก่อนนะ
Hello Cycling เป็นหนึ่งในบริการ Share Cycle ที่ให้เราเช่าจักรยานเพื่อการเดินทางในเมืองที่สะดวกยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนในการเช่านั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เพียง
1.สร้าง Account ในเว็บไซค์หรือเแอปพลิเคชั่น (แอปพลิเคชั่น Hello Cycling นี้มีการล็อคโซน สามารถโหลดได้เมื่ออยู่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น)
2.ค้นหาสถานีจักรยานที่ต้องการและจองการเช่าจักรยานล่วงหน้า สำหรับทริปนี้จะเป็นสถานี Morioka-ekimae Chika Chuurinjo (盛岡駅前地下駐輪場) สามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้
3.หลังจากเลือกจักรยานที่ต้องการเช่าและกดจองชำระเงินเรียบร้อย ให้ไปยังสถานีจักรยานที่จองจักรยานไว้ภายใน 30 นาที ในช่วงระหว่างนั้นจะมีอีเมล์ยืนยันการเช่าจักรยานมายังอีเมล์ที่เราลงทะเบียน Account ไว้
4.เช็คหมายเลขจักรยานและหาจักรยานคันที่จองไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเจอแล้วให้กรอกรหัส 4 หลักที่ได้ในเมล์ในแผงที่หัวจักรยานเพื่อปลดล็อคจักรยาน แล้วก็เริ่มเที่ยวโมริโอกะได้เลย! ส่วนในขั้นตอนการคืนนั้นก็ง่ายๆ เพียงจอดจักรยานไว้ที่เดิมแล้วกดปุ่ม RETURN ที่แผงเป็นอันเรียบร้อย
SPOT 5: สวนปราสาทโมริโอกะ
สวนปราสาทโมริโอกะ (盛岡城跡公園, Morioka Castle Site Park) เป็นสวนที่ครอบคลุมพื้นที่เดิมของปราสาทโมริโอกะที่ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1611 และปัจจุบันตั้งอยู่ใจกลางเมืองโมริโอกะ เพื่อนๆ ที่ไปถึงอาจจะแปลกใจว่าทำไมที่นี่ถึงไม่มีอาคารปราสาทให้เห็นอย่างปราสาทโอซาก้าหรือปราสาทนาโกย่า ทั้งนี้เพราะตัวอาคารที่สร้างเสร็จนั้นถูกไฟไหม้ไปในปีค.ศ. 1634 ซึ่งเป็นเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นหลังจากที่อาคารสามชั้นของปราสาทถูกสร้างเสร็จ และหลังจากนั้นตัวปราสาทก็ไม่ได้ถูกบูรณะขึ้นอีกเลย จึงเหลือเพียงกำแพงหินที่เป็นฐานของปราสาทอย่างที่เห็นในปัจจุบันเท่านั้น ถึงอย่างนั้น สวนปราสาทโมริโอกะนับเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ถูกจัดให้มีความสวยงามร่มรี่น ทั้งยังเป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยมแห่งจังหวัดอิวาเตะอีกด้วย
สวนปราสาทโมริโอกะ (盛岡城跡公園, Morioka Castle Site Park)
ที่อยู่: 1-1-37 Uchimaru, Morioka, Iwate 020-0023, Japan
เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง
วันหยุด: ไม่มี
Website: moriokashiroato.jp
SPOT 6: Bank of Iwate Red Brick Building
Bank of Iwate Red Brick Building (岩手銀行旧中ノ橋支店) เป็นอาคารที่เคยเป็นที่ตั้งของธนาคารอิวาเตะและเป็นอาคารที่มีมาตั้งแต่ยุคเมจิ ดังนั้นเราจะได้เห็นความสวยงามของอาคารตะวันตกในญี่ปุ่นสมัยเมจิ ด้วยความเป็นมาและความสวยงามนี้ Bank of Iwate Red Brick Building จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและกลายเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างในปัจจุบัน
อาคารภายในจะถูกแบ่งออกเป็นโซนธนาคารอิวาเตะที่สามารถเข้าได้ฟรีและสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของท้องถิ่นนี้ได้ และอีกโซนหนึ่งคือโซนธนาคารโมริโอกะที่เราสามารถเข้าชมห้องรับรอง ห้องประชุม และห้องสำคัญอื่นๆ ของธนาคารที่ยังคงถูกเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมเหมือนในครั้งที่ธนาคารแห่งนี้ยังเปิดให้บริการอยู่
Bank of Iwate Red Brick Building (岩手銀行旧中ノ橋支店)
ที่อยู่: 1 Chome-2-16 Nakanohashidori, Morioka, Iwate 020-0871, Japan
เวลาทำการ: 10.00 – 17.00 น.
วันหยุด: เสาร์ – อาทิตย์
ค่าเข้า: บุคคลทั่วไป (อายุ 16 ปีขึ้นไป) 300 เยน, นักเรียนประถม / มัธยมต้น 100 เยน , เด็กเล็กเข้าฟรี
Website: iwagin-akarengakan.jp
SPOT 7: ร้านเซมเบ้ชิราซาวะ

ร้านเซมเบ้ชิราซาวะ (老舗白沢せんべい店, Shirasawa Senbei Shop) เป็นร้านจำหน่ายนันบุเซมเบ้ (南部せんべい) ซึ่งเป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อประจำเมืองโมริโอกะ ด้วยอดีตที่พื้นที่แห่งนี้เจอกับภาวะอดอยากอยู่บ่อยครั้ง เซมเบ้ที่เป็นอาหารแห้งซึ่งเก็บได้นานจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของคนท้องถิ่นโดยแต่ละบ้านจะทำเซมเบ้เก็บไว้กินกันเองในครัวเรือน
ร้านเซมเบ้ชิราซาวะเปิดขายเซมเบ้ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1936 โดยจำหน่ายทั้งเซมเบ้ดั้งเดิมของโมริโอกะเช่นเซมเบ้งาและอีกมากมายที่ใช้แป้งท้องถิ่นของจังหวัดอิวาเตะเป็นวัตถุดิบ ทำให้เซมเบ้ที่นี่มีทั้งความอร่อยที่ได้จากวัตถุดิบท้องถิ่นและความพิถีพิถันในการทำเซมเบ้ที่ส่งต่อกันมาช้านาน
ร้านเซมเบ้ชิราซาวะ (老舗白沢せんべい店, Shirasawa Senbei Shop)
ที่อยู่: 2-16 Konyacho, Morioka, Iwate 020-0885, Japan
เวลาทำการ: 9.00 – 17.40 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: okashi-net.com
SPOT 8: มื้อกลางวันที่ร้าน KARAKOMA
View this post on Instagram
หลังจากแวะซื้อขนมเซมเบ้กันแล้ว เราก็มาพักทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน KARAKOMA ร้านอาหารวีแกนเล็กๆ น่ารักที่เสิร์ฟเมนูวีแกนอร่อยหน้าตาน่ากินมากมายที่ไม่ว่าใครๆ ก็อร่อยได้ โดยมีทั้งเมนูเบ็นโตะ และข้าวราดหน้าที่ประกอบด้วยวัตถุดิบจากเต้าหู้และเนื้อมังสวิรัติที่หลายคนรีวิวว่าอร่อยจนลืมไปเลยว่านี่คือร้านวีแกน
KARAKOMA
ที่อยู่:1-44 Kaminohashicho, Morioka, Iwate 020-0887, Japan
เวลาทำการ: 11.30 – 14.00 น. (อาหารกลางวัน), 17.30 – 21.00 น. (อาหารเย็น)
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: KARAKOMA Facebook
SPOT 9: สำนักพิมพ์โคเกนฉะ

สำนักพิมพ์โคเกนฉะ (光原社, KOGENSYA Honten) เป็นสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือรวมนิทานเด็ก “ภัตตาคารมากคำสั่ง (注文の多い料理店, The Restaurant That has Manu Orders)” ของมิยาซาวะ เคนจิ (宮沢賢治, Miyazawa Kenji) และยังได้มิยาซาวะ เคนจิเป็นผู้ตั้งชื่อสำนักพิมพ์ให้อีกด้วย นอกจากเพื่อนๆ จะได้ชมและช้อปของฝากที่มีธีมเกี่ยวกับวรรณกรรมมิยาซาวะ เคนจิแล้ว ที่นี่ยังมี “คาฮิคัง (可否館, Kogensya Coffee Kan)” คาเฟ่กระท่อมไม้ที่ดูราวกับหลุดออกมาจากภัตตาคารปริศนาในเรื่อง “ภัตตาคารมากคำสั่ง” ก็ไม่ปาน โดยเราสามารถอร่อยกับเครื่องดื่มชากาแฟตามชอบพร้อมกับขนมหวานเช่นคุ้กกี้วอลนัทที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมของมิยาซาวะ เคนจิอีกด้วย
สำนักพิมพ์โคเกนฉะ (光原社, KOGENSYA Honten) และคาฮิคัง (可否館, Kogensya Coffee Kan)
ที่อยู่: 2-18 Zaimokucho, Morioka, Iwate 020-0063, Japan
เวลาทำการ: 10.00 – 18.00 น. (วันเสาร์เปิดถึง 14.00 น.)
วันหยุด: ทุกวันที่ 15 ของเดือนมิ.ย. และก.ค.
Website: morioka-kogensya.sakura.ne.jp
หลังเที่ยวรอบเมืองโมริโอกะและอร่อยกับอาหารแล้ว ช่วงบ่ายจะเป็นการเดินทางออกจากเมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ และมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองอาโอโมริ จังหวัดอาโอโมริซึ่งขึ้นชื่อในฐานะอาณาจักรแห่งแอปเปิ้ลและเทศกาลโคมไฟยักษ์เนบูตะ (ねぶた祭り, Nebuta Festival) สุดอลังการ
SPOT 10: Nebuta Museum WARASSE
เมื่อนั่งรถไฟมาถึงที่สถานี Aomori หากไม่อยากถือสัมภาระเยอะอาจไปเช็คอินโรงแรมที่พักก่อนแล้วค่อยออกมาเดินเที่ยวก็ได้ หรือหากใครไม่อยากเสียเวลาก็มุ่งหน้าตรงไปยังพิพิธภัณฑ์ใกล้สถานีซึ่งภายนอกถูกตกแต่งให้ดูเหมือนริ้วม่านแปลกตานี้ได้เลย ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ Nebuta Museum WARASSE (ねぶたの家 ワ・ラッセ) พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเทศกาลเนบูตะโดยเฉพาะ ซึ่งให้เพื่อนๆ ได้ชมทั้งโคมยักษ์ของจริงจากเทศกาลปีก่อน และร่วมเต้นรำกับนักเต้นรำในงานเทศกาล ทั้งยังลองตีกลองไทโกะได้ด้วย นับเป็นสถานที่ที่ให้เพื่อนๆ ได้สัมผัสกับเทศกาลโคมยักษ์ที่มีเสน่ห์ของอาโอโมริได้ตลอดทั้งปี
Nebuta Museum WARASSE (ねぶたの家 ワ・ラッセ)
ที่อยู่: 1 Chome-1-1 Yasukata, Aomori, 030-0803 Japan
วันเวลาทำการ: 9.00 – 19.00 (เปิดถึง 18.00 ช่วงกันยายน-เมษายน)
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 620 เยน / นักเรียนมัธยมปลาย 460 เยน / นักเรียนประถม-มัธยมต้น 260 เยน
Website: www.nebuta.jp (ภาษาอังกฤษ)
SPOT 11: A-Factory
หลังตื่นตากับโคมไฟยักษ์กันแล้ว ไปชิมและช้อปสินค้ามากมายที่ผลิตจากแอปเปิ้ลซึ่งเป็นของดีจังหวัดอาโอโมริกันต่อที่ A-Factory ศูนย์รวมร้านค้าและสินค้าที่ทำจากแอปเปิ้ล เช่นแอปเปิ้ลไซเดอร์ และที่พลาดไม่ได้คือแนะนำให้ลองชิมเจลาโต้ที่ทำจากแอปเปิ้ลหลากชนิดซึ่งให้รสเปรี้ยวและหวานต่างกันออกไป นอกจากนี้อาคารที่นี่ยังมีดีไซน์เก๋ไก๋ เป็น Photo Spot ให้ถ่ายรูปรัวๆ ลงโซเชียลได้อีกด้วย


A-Factory
ที่อยู่: 1 Chome-4-2 Yanakawa, Aomori, 038-0012, Japan
เวลาทำการ: 9.00 – 20.00 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: jre-abc.com
SPOT 12: Aomori Prefecture Tourist Information
จากนั้นก็ได้เวลาอร่อยกับมื้อเย็นที่ Aomori Prefecture Tourist Information โดยระหว่างทางเดินไปเราจะใช้เส้นทาง Aomori Labridge ซึ่งเป็นทางเดินสะพานเลียบทะเลเพื่อชมวิวทะเลอ่าวอาโอโมริยามเย็นกันได้ สำหรับที่ Aomori Prefecture Tourist Information นั้น สามารถเลือกอร่อยกับร้านอาหารและขนมที่มีอยู่มากมายได้ โดยร้านหนึ่งที่ขอแนะนำคือ Michinoku Nishimura (みちのく料理「西村」) ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของที่นี่
นอกจากจะได้อร่อยกับอาหารพื้นบ้านดั้งเดิมของอาโอโมริมากมายแล้ว ห้องอาหารของร้านที่นี่ยังตกแต่งสไตล์ห้องญี่ปุ่นแท้ๆ พร้อมกระจกบานใหญ่ให้เราได้ชมวิวสวยงามของเมืองอาโอโมริยามค่ำคืนได้อีกด้วย
View this post on Instagram
Michinoku Nishimura (みちのく料理「西村」)
ที่อยู่: 10F ASPAM 1-40, 1 Chome, Yasutaka, Aomori, 030-0803 Japan
เวลาทำการ: กลางวัน 11.00 – 15.30 น. (Last Order 15.00 น.),
กลางคืน (เม.ย.-ต.ค.) 17.00 – 21.00 น. (Last Order 20.30 น.) ,
กลางคืน (พ.ย.-มี.ค.) 16.30 – 20.00 น. (Last Order 19.30 น.)
วันหยุด: ไม่แน่นอน อิงตามวันหยุดของทาง Aomori Prefecture Tourist Information
Website: michinokunishimura.gorp.jp
คืนนี้ค้างที่นี่: สถานี JR Aomori
เมื่อมาถึงสถานี JR Aomori เพื่อนๆ สามารถเดินไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนได้ โดยโรงแรมใกล้สถานี JR Aomori หนึ่งที่แนะนำคือโรงแรม APA Hotel Aomorieki Kenchodori หนึ่งในโรงแรมเครือ APA ที่ให้บริการอยู่ในพื้นที่โดยเป็นโรงแรม 3 ดาวที่เดินทางได้สะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครับ ในราคา 4,000 เยน (พัก 1 คน) -5,000 (พัก 2 คน) เยนต่อคืนต่อห้อง
วันที่ 3: เที่ยวเมืองฮิโรซากิและสัมผัสอีกระดับของการนั่งรถไฟกับ Resort Shirakami
ก่อนที่จะไปเริ่มลุยเที่ยวเมืองฮิโรซากิในวันนี้ ถ้าเพื่อนๆ อยากชิมของอร่อยประจำถิ่นและตื่นเช้าไหวล่ะก็ ลองไปชิม “นกเกะด้ง (のっけ丼, Nokkedon)” ที่ Aomori Gyosai Center กันได้!
การจะอร่อยกับนกเกะด้งของที่นี่มีความสนุกอยู่อย่างหนึ่งคือเราสามารถเลือกซื้อสารพัดวัตถุดิบอาหารทะเลทั้งเนื้อปลา กุ้ง และอื่นๆ ได้ตามชอบจนได้นกเกะด้งในฉบับของตัวเอง โดยจะต้องซื้อคูปองแทนเงินสดสำหรับแลกซื้อของจากร้านค้าก่อน จากนั้นเราก็สามารถสนุกกับการตระเวนตามร้านต่างๆ และแลกซื้อวัตถุดิบให้ชามข้าวเปล่าของเราค่อยๆ มีปลาและอาหารทะเลสดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มชาม! Aomori Gyosai Center จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 7 โมงเช้า ดังนั้นถ้าตื่นเช้าไหวเราก็จะมีเวลาอร่อยกับนกเกะด้งได้สบายๆ เลย

พออิ่มท้องด้วยของอร่อยแล้ว เราจะออกเดินทางจากสถานี Aomori ไปยังสถานี Hirosaki เพื่อไปเที่ยวเมืองฮิโรซากิ เมืองท่องเที่ยวแห่งจังหวัดอาโอโมริที่ถ้าไม่มาเที่ยวก็อาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงจังหวัดอาโอโมริก็ว่าได้
สำหรับแพลนเที่ยวรอบเมืองนั้น วันนี้จะเป็นการเดินเล่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองฮิโรซากิที่มีปราสาทฮิโรซากิที่เป็นสัญลักษ์ของเมืองเป็นตัวเอก และมีอาคารทรงยุโรปและญี่ปุ่นปะปนกันให้ชม นับเป็นเมืองที่มีทั้งความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตกมารวมกันอย่างสวยงามลงตัว
SPOT 13: ปราสาทฮิโรซากิ
ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城, Hirosaki Castle) ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะฮิโรซากิ (弘前公園, Hirosaki Park) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1611 โดยตระกูลสึการุ ผู้ปกครองแคว้นในเวลานั้น ปราสาทฮิโรซากินับเป็นปราสาทเพียงหลังเดียวในภูมิภาคโทโฮคุที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนับจากยุคเอโดะ โดยถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮิโรซากิ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นตั้งแต่ปีค.ศ. 1952 นอกจากนี้ปราสาทฮิโรซากิยังเป็นจุดชมซากุระและจุดชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริอีกด้วย ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงพอดีล่ะก็มาเที่ยวที่ปราสาทฮิโรซากิแห่งนี้ให้ได้เลยนะ!

ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城)
ที่ตั้ง: 1 Shimoshiroganechō, Hirosaki, Aomori
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น. *ช่วงเทศกาลซากุระเปิด 7.00-21.00 น.วันหยุด: 24 พ.ย. – 31 มี.ค.
ค่าเข้า: (สวนสาธารณะและปราสาท) ผู้ใหญ่ 310 เยน, เด็ก 100 เยน
Website: hirosakipark.jp (ภาษาอังกฤษ)
SPOT 14: Catholic Hirosaki Church
View this post on Instagram
Catholic Hirosaki Church (カトリック弘前教会) เป็นโบสถ์คาทอลิกที่สามารถย้อนประวัติไปได้ถึงปีค.ศ. 1872 โดยเป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยไม้ตามแบบ Romanesque ด้วยฝีมือของโยโคยามะ สึเนะคิจิ ยกเว้นแท่นบูชาสไตล์ Gothic ที่เป็นแท่นบูชาซึ่งได้รับบริจาคจาก St. Thomas Church ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเมื่อเข้าไปในโบสถ์ เราจะเห็นกระจกสีสวยงามซึ่งได้รับบริจาคมาจากบาทหลวงคาร์รอน (Father Carron) ประเทศแคนาดา โดยกระจกสีถูกจัดให้เป็นภาพสวยงามเช่นภาพภูเขาอิวากิและแอปเปิ้ลซึ่งสื่อถึงเมืองฮิโรซากิ
Catholic Hirosaki Church (カトリック弘前教会)
ที่ตั้ง: 20 Hyakkokumachi Koji, Hirosaki, Aomori 036-8351, Japan
เวลาทำการ: ฤดูร้อน 7.00-19.00 น. , ฤดูหนาว 7.00 น. จนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินวันหยุด: โบสถ์จะปิดทำการเมื่อมีการจัดงานพิธี
ค่าเข้า: เข้าฟรี
Website: sendai.catholic.jp
SPOT 15: To-o Gijuku Missionary Residence

To-o Gijuku Missionary Residence (旧東奧義塾 外人教師館) เป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮิโรซากิที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1903 เพื่อเป็นที่พักอาศัยของกลุ่มมิชชันนารีในเมืองและปัจจุบันตัวอาคารถือเป็นหนึ่งในสมบัติของจังหวัดอาโอโมริ
ภายในอาคารจะได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ยังถูกเก็บรักษาไว้และจัดเพื่อจำลองการใช้ชีวิตในยุคเมจิของกลุ่มมิชชันนารีให้เราได้ชมกัน และถ้าหากอยากใช้เวลาซึมซับบรรยากาศย้อนยุคแบบเต็มอิ่ม ที่ชั้น 1 ของอาคารจะมี Salon de Cafe Ange คาเฟ่สวยย้อนยุคที่เสิร์ฟแกงกะหรี่แอปเปิ้ล พายแอปเปิ้ล และกาแฟหอมอร่อยให้เราได้เพลิดเพลินไปพร้อมๆ กับบรรยากาศ
View this post on Instagram
To-o Gijuku Missionary Residence (旧東奧義塾 外人教師館)
ที่ตั้ง: 2-1 Shimoshiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8356 Japan
เวลาทำการ: 9.00-18.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: เข้าฟรี
Website: city.hirosaki.aomori.jp
SPOT 16: Fujita Memorial Garden
Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園) เป็นสวนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ โดยเป็นสวนญี่ปุ่นสไตล์เอโดะที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1991 เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของการตั้งเมืองฮิโรซากิขึ้น นอกจากนี้ สวนแห่งนี้ยังเคยเป็นที่พักอาศัยของฟุจิตะ เคนอิจิ (藤田 謙一, Fujita Kenichi) ประธานคนแรกของ Japan Chamber of Commerce and Industry อีกด้วย โดยภายในสวนญี่ปุ่นจะมีทั้งอาคารที่พักอาศัยแบบญี่ปุ่นและยุโรปให้ได้ชมกัน รวมแล้วเป็นบรรยากาศที่สวยงามอย่างลงตัวชนิดที่ต้องมาเดินถ่ายรูปให้ได้สักครั้ง และถ้าหากอยากหาที่พัก ภายในสวนก็มีทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ รวมถึงห้องน้ำชาให้ได้พักเติมพลังกัน
เมนูขึ้นชื่อของที่นี่มันข้าวแกงกะหรี่หน่อไม้ที่หอมเครื่องและเฮลตี้สุดๆ หรือถ้าต้องการเมนูเบาๆ อิ่มท้องแต่กินแล้วสดชื่น ที่นี่ก็มีพาสต้าปลาซาบะที่ราดซอสเลมอนสดหอมสดชื่น! สำหรับของหวานนั้นก็มีเมนูขนมอบมากมาย แต่ที่ขึ้นชื่อต้องยกให้น้ำแข็งไสชามโตที่คนชอบน้ำแข็งไสและบิงซูต้องลอง!
View this post on Instagram
Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園)
ที่ตั้ง: 8-1 Kamishiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8207, Japan
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น. (จำหน่ายตั๋วเข้าจนถึงเวลา 16.30 น.) ,ช่วงค่ำเปิดให้ชมสวนได้ถึง 20.00 น. (จำหน่ายตั๋วเข้าจนถึงเวลา 19.30 น.)
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: เข้าฟรี
Website: hirosakipark.or.jp/hujita
SPOT 17: นั่งรถไฟ Joyful Train “Resort Shirakami” ไปอาคิตะ

หลังจากเที่ยวชมเมืองฮิโรซากิกันอย่างจุใจแล้ว เราก็มุ่งหน้ากันไปยังจังหวัดอาคิตะที่เป็นจุดหมายปลายทางต่อไป
แต่ในการเดินทางไปจังหวัดอาคิตะนั้น เราจะนั่งรถไฟท่องเที่ยวธีมพิเศษ (Joyful Train) ที่ชื่อ “Resort Shirakami (リゾートしらかみ)” กันเพื่อเพิ่มสีสันให้กับการเดินทางของเรา!
Resort Shirakami เป็นรถไฟ Joyful Train รุ่นบุกเบิกที่ช่วยเปลี่ยนนิยามของการเดินทางให้เป็นความสนุกได้ ไม่ว่าจะด้วยวิวทิวทัศน์สวยงามของทะเลและธรรมชาติระดับมรดกโลก การแสดงดนตรีพื้นบ้าน เอกิเบ็น (ข้าวกล่องรถไฟ) และอีกมากมายที่ทำให้การนั่งรถไฟกลายเป็นไฮไลท์หนึ่งของการเที่ยวได้ โดยระหว่างทางจะมี 2 สถานีซึ่งมีกิจกรรมให้เราร่วมสนุกได้เพลินๆ ระหว่างทาง

สำหรับ Resort Shirakami ที่เราจะขึ้นในรอบนี้จะเป็นรอบ 14.30 น. ดังนั้นจะมีช่วงที่รถไฟแวะจอดที่สถานีสถานี Senjojiki (千畳敷駅) เป็นเวลา 15 นาทีให้เราเดินข้ามถนนไปชมวิวทะเลได้ใกล้ๆ และถ้าหากหิวขึ้นมาก็รองท้องด้วยปลาหมึกย่างของอร่อยประจำถิ่นได้ แต่ต้องรีบหน่อยนะเพราะมีจำนวนจำกัด (ทั้งนี้ถ้าเป็นรอบ 16.00 น. รถไฟจะวิ่งผ่านสถานีนี้ไปโดยไม่แวะจอด)
คืนนี้ค้างที่นี่: สถานี JR Akita
หลังจากสนุกกับการนั่งรถไฟ Resort Shirakami แล้ว เราจะมาถึงที่อาคิตะกันในเวลา 19.00 น. ซึ่งเป็นเวลามื้อเย็นพอดี เมื่อมาถึงอาคิตะแล้ว เมนูที่จะพลาดไม่ได้เลยคือคิริทัมโปะ (きりたんぽ, Kiritanpo) อาหารที่ทำจากข้าวที่ถูกตำให้เป็นแป้งแล้วพันรอบไม้ซีดาร์ก่อนจะนำไปย่าง และในบรรดาร้านคิริทัมโปะทั้งหมด ขอแนะนำร้าน Akita Kiritanpoya ร้านอาหารติดสถานี JR Akitaที่เสิร์ฟทุกเมนูพื้นเมืองของอาคิตะ ภายในร้าน Akita Kiritanpoya ถูกตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนบ้านนายพรานทำให้รู้สึกเหมือนได้ร่วมวงอาหารกับบรรดานายพรานที่ท่องป่าในอดีตของญี่ปุ่นก็ไม่ปาน
View this post on Instagram
Akita Kiritanpoya
ที่ตั้ง: 2 Chome−7−6 Nakadori, Akita 010-0001 Japan
เวลาทำการ: 17.00-24.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: marutomisuisan.jpn.com/kiritanpoya
สำหรับโรงแรมที่ขอแนะนำคือโรงแรม Hotel Metropolitan Akita โรงแรมติดสถานี JR Akita ที่มีห้องพักสะดวกครบครันในราคา 9,000 เยน (2,700 บาท) ต่อคืนต่อคน โดยราคานี้รวมบริการอาหารเช้าด้วย
วันที่ 4: เที่ยวมัตสึชิมะ เมืองอ่าวที่มีวิวสวยติดอันดับโลก
ในวันที่ 4 นี้เราจะนั่งรถไฟจากอาคิตะผ่านเซ็นไดเพื่อไปยังมัตสึชิมะ (松島, Matsushima) เมืองในจังหวัดมิยางิที่ขึ้นชื่อว่ามีวิวอ่าวที่สวยติดอันดับโลก และยังเป็นเมืองของซามูไรชื่อดังอย่างดาเตะ มาซามุเนะ รวมถึงเป็นอีกแหล่งรวมของอร่อยของจังหวัดมิยางิ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสดๆ หรือกิวตัน (牛タン, Gyutan) หรือลิ้นวัวที่ถ้าไม่ได้ลองก็ถือว่าพลาดของดีจังหวัดมิยางิไปเลยก็ว่าได้
สำหรับแพลนเที่ยวรอบเมืองมัตสึชิมะนั้นจะเป็นการเดินเที่ยวไปตามแลนด์มาร์กสำคัญๆ ของมัตสึชิมะที่ทั้งมีความสำคัญต่อที่แห่งนี้และยังเป็นจุดชมวิวสวยๆ อีกด้วย รวมถึงเรายังจะได้นั่งเรือเที่ยวรอบอ่าวมัตสึชิมะเพื่อชมความงามของทะเลที่สวยติดอันดับโลกแห่งนี้อีกด้วย
หลังจากออกจากสถานี JR Matsushima-Kaigan เราแวะซื้อตั๋วนั่งเรือชมอ่าวกันที่บูธจำหน่ายตั๋วใกล้ๆ สถานี หรือจะ จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าก็ได้เช่นกัน
หมายเหตุ: ด้วยสถานการณ์ covid-19 ในปัจจุบัน ทางบริษัทเรือท่องเที่ยวจึงจำกัดการจองผ่านช่องทางโทรศัพท์เท่านั้น
SPOT 18: เกาะโอชิมะ

เกาะโอชิมะ (雄島, Oshima Island) เป็นเกาะที่ถือว่าเป็นที่มาของชื่อ “มัตสึชิมะ” ก็ว่าได้ เรื่องเล่ามีอยู่ว่าในอดีตมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาปฏิบัติธรรมที่นี่เป็นเวลา 12 ปี ซึ่งจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงเลื่อมใสและส่งต้นสน 1,000 มาถวาย จนเป็นที่มาของชื่อมัตสึชิมะของพื้นที่บริเวณนี้ (ต้นสน: มัตสึ 松) โดยเกาะเป็นเกาะที่สามารถเดินข้ามสะพานไปได้ง่ายๆ และปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของมัตสึชิมะ บนพื้นที่เกาะโอชิมะนั้นมีถ้ำเล็กใหญ่มากถึง 50 แห่งด้วยกันและยังมีอนุสรณ์ทางศาสนาพุทธที่สำคัญอยู่ด้วย นับเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการเริ่มเดินเที่ยวมัตสึชิมะเป็นอย่างยิ่ง
เกาะโอชิมะ (雄島, Oshima Island)
ที่ตั้ง: Namiuchihama-24 Matsushima, Miyagi District, Miyagi 981-0213, Japan
เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมงWebsite: town.miyagi-matsushima.lg.jp
SPOT 19: เรือนน้ำชาคันรันเท
เรือนน้ำชาคันรันเท (観瀾亭, Kanrantei Tea House) หรือที่แปลได้ว่า “เรือนน้ำชามองคลื่นทะเล” นั้นเป็นเรือนน้ำชาที่มีวิวทะเลสวยงามสมชื่อ นอกจากเรือนน้ำชาแห่งนี้จะให้เพื่อนๆ ได้จิบชาหอมๆ เคล้าวิวทะเลแล้ว เรือนน้ำชาคันรันเทยังมีความพิเศษในฐานะเรือนน้ำชาที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งจังหวัดมิยางิอีกด้วย โดยเป็นเรือนน้ำชาที่ตกทอดมาในกลุ่มบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นโดยเฉพาะดาเตะ มาซามุเนะ ซามูไรคนสำคัญแห่งยุคสงครามและผู้ตั้งชื่อคันรันเทให้กับเรือนน้ำชาแห่งนี้ด้วย
เรือนน้ำชาคันรันเท (観瀾亭, Kanrantei Tea House)
ที่ตั้ง: 56 Chonai, Matsushima, Japan, Miyagi District, Miyagi 981-0213 Japan
เวลาทำการ: 8.30-17.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 200 เยน, นักศึกษา / นักเรียนมัธยมปลาย 150 เยน, นักเรียนมัธยมต้น / ประถม 100 เยน
เซ็ทน้ำชาพร้อมขนม 500 เยน
Website: matsushima-kanko.com
SPOT 20: อร่อยกับกิวตันที่ร้าน Rikyu
กิวตันหรือลิ้นวัวถือเป็นเมนูขึ้นชื่อของจังหวัดมิยางิ โดยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความอร่อยที่มัดใจให้นักท่องเที่ยวกลับมาชิมที่จังหวัดมิยางิได้เรื่อยๆ ดังนั้นมื้อกลางวันวันนี้เราจะมาพิสูจน์ความอร่อยของกิวตันกันที่ร้าน Rikyu สาขามัตสึชิมะ ร้านอาหารใกล้เรือนน้ำชาคันรันเทกัน!
Rikyu Matsushima Branch
ที่ตั้ง: 45 Chonai, Matsushima, Japan, Miyagi District, Miyagi 981-0213 Japan
เวลาทำการ: 11.30-21.30 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: rikyu-matsushima.gorp.jp
SPOT 21: นั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ
หลังพักจิบชาชมวิวทะเลกันที่เรือนน้ำชาคันรันเทและอร่อยกับกิวตันแล้ว ก็ได้เวลามาชมอ่าวที่สวยติดอันดับโลก! เพียงเดิน 5 นาทีจากบริเวณเรือนน้ำชาคันรันเทและร้าน Rikyu ก็จะมาถึงท่าเรือสำหรับขึ้นเรือชมอ่าว เรือนั้นจะมีสองชั้นให้เลือกชมวิวตามชอบแต่อาจจะต้องรีบไปขึ้นเรือหน่อยเพราะที่นั่งติดหน้าต่างที่ชั้นล่างของเรือจะถูกจับจองเร็วมาก ระหว่างชมวิวอ่าวมัตสึชิมะและรับลมทะเลสดชื่นเข้าปอด บนเรือจะมีกิจกรรมให้อาหารน้องนกนางนวลที่จะบินโฉบมาทักทายด้วย ถ้าจังหวะดีอาจจะได้รูปนกนางนวลและทะเลสวยๆ กลับบ้านด้วย กิจกรรมนั่งเรือจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที
ท่าเรือสำหรับขึ้นเรือชมอ่าว
SPOT 22: พิพิธภัณฑ์ดาเตะ มาซามุเนะ
View this post on Instagram
มาถึงดินแดนอดีตยอดขุนพลญี่ปุ่นอย่างดาเตะ มาซามุเนะกันแล้ว เรามาแวะที่พิพิธภัณฑ์ดาเตะ มาซามุเนะ (みちのく伊達政宗歴史館, Date Masamune Historical Museum) เพื่อรู้จักบุคคลสำคัญของญี่ปุ่นคนนี้กันนิดนึงค่ะ ที่พิพิธภัณฑ์นี้เราจะได้รู้จักกับดาเตะ มาซามุเนะและผลงานของเขาที่มีส่วนในการสร้างความเจริญให้กับจังหวัดมิยางิในปัจจุบัน รวมถึงได้สนุกกับการลองแต่งชุดเกราะซามูไรที่มีทั้งชุดเกราะจำลองและชุดเกราะของจริงที่หนักถึง 20 กก. ให้เลือกใส่ถ่ายรูปเท่ๆ ได้
หรือถ้าหากชอบงานฝีมือท้องถิ่นญี่ปุ่น ก็สามารถร่วมกิจกรรมระบายสึตุ๊กตาโคเคชิ ของเล่นพื้นบ้านประจำท้องที่ญี่ปุ่นกันได้เช่นกัน อีกทั้งที่นี่ยังมีร้านจำหน่ายของฝากด้วย ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาแหล่งซื้อของฝากล่ะก็ที่นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่สามารถช้อปปิ้งได้
พิพิธภัณฑ์ดาเตะ มาซามุเนะ (みちのく伊達政宗歴史館, Date Masamune Historical Museum)
ที่ตั้ง: Fugendo-13-13 Matsushima, Miyagi District, Miyagi 981-0213, Japan
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป) 1,000 เยน, นักเรียนมัธยมต้น / ประถม 500 เยน, เด็กเล็กเข้าฟรี
Website: date-masamune.jp
SPOT 23: The Museum Matsushima
View this post on Instagram
อีกพิพิธภัณฑ์ที่พลาดไม่ได้ของเมืองมัตสึชืมะคือ The Museum Matsushima (ザ・ミュージアム MATSUSHIMA) ซึ่งป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวมงานจัดแสดง 3 คอลเลคชั่นไว้ในที่เดียว ได้แก่
1.Orgel Collection คอลเลคชั่นที่มีกล่องดนตรีล้ำค่าจาก Royal Museums of Fine Arts of Belgium
2.Kitahara Toy Collection คอลเลคชั่นของเล่นโดยคิตาฮาระ เทรุฮิสะ (北原照久) นักสะสมของเล่นชื่อดังระดับโลก
3.Segawa Mode Collection คอลเลคชั่นชุดเดรสตัดเย็บด้วยมือในสไตล์ที่พบได้ในปารีสช่วงค.ศ. 1870 -1960
ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนสายอาร์ตที่ชื่นชอบศิลปะหลายแขนงของยุโรปล่ะก็ มาเยี่ยมที่นี่ให้ได้เลยนะ แอบกระซิบนิดนึงว่าถ้าจังหวะดีอาจจะได้ชมการแสดงพิเศษของพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ
The Museum Matsushima (ザ・ミュージアム MATSUSHIMA)
ที่ตั้ง: Fugendo-33 3 Matsushima, Miyagi District, Miyagi 981-0213, Japan
เวลาทำการ: วันธรรมดา 10.00-16.00 น. , วันเสาร์-อาทิตย์ 9.00 -17.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, นักเรียนมัธยมปลาย 1,000 เยน, นักเรียนมัธยมต้น / ประถม 800 เยน, เด็กเล็กเข้าฟรี, ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 1,200 เยน
Website: t-museum.jp
คืนนี้ค้างที่นี่: สถานี JR Matsushima-Kaigan
คืนนี้เราจะค้างกันที่สถานี JR Matsushima-Kaigan โดยโรงแรมใกล้ๆ ที่แนะนำคือ Petithotel Bistro Abalon (松島プチホテル びすとろアバロン) โรงแรมเล็กๆ ใกล้สถานีซึ่งเป็นร้านอาหาร Bistro ในตัวด้วย ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่ามื้ออาหารที่นี่อร่อยไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน นอกจากนี้ห้องพักยังมีบรรยากาศย้อนยุคนิดๆ อบอุ่นหน่อยๆ ด้วยการตกแต่งด้วยไม้ พร้อมวิวห้องที่สามารถเห็นอ่าวมัตสึชิมะได้ไกลๆ ราคาห้องพักต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท
แต่สำหรับคนที่อยากลองพักในบรรยากาศออนเซ็นที่มี Ocean View ที่พักที่แนะนำคือ Hotel Daimatsuso (松島温泉ホテル大松荘) โรงแรมใกล้ท่าเรือชมอ่าวมัตสึชิมะที่เรานั่งกันเมื่อกลางวัน โดยโรงแรมนี้มีออนเซ็นให้บริการพร้อมอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิที่เป็นอาหารเซ็ทชุดใหญ่ที่มักเสิร์ฟกันในออนเซ็น โดยมีทั้งเมนูอาหารทะเลและลิ้นวัวของขึ้นชื่อให้ได้อร่อยกัน ราคาห้องพักต่อคืนเริ่มต้นที่ 15,400 เยน (รวมบริการอาหารเย็นและเช้า) ซึ่งตกอยู่ที่ประมาณ 4,600 บาท
วันที่ 5: เยือนวัดภูเขาศักดิ์สิทธิ์และนั่งแช่เท้าบนชินกันเซ็น Toreiyu Tsubasa
สำหรับวันสุดท้ายของทริป เรานั่งรถไฟออกจากมัตสึชิมะกลับไปที่เซ็นไดเพื่อต่อรถไฟไปยังยามาเดระ วัดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นก่อนจะนั่งรถไฟ Toreiyu Tsubasa ซึ่งเป็นรถไฟ Joyful Train สุดพิเศษที่มาในธีมออนเซ็นเพื่อกลับโตเกียวกันค่ะ
ช่วงครึ่งเช้านี้เราจะเดินขึ้นขั้นบันไดกว่า 1,000 ขั้นของยามาเดระเพื่อเยี่ยมชมวัดภูเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติของภูเขาที่สวยงาม พร้อมชมวิวเมืองยามาเดระจากจุดชมวิวบนเขาที่สวยควรค่าแก่การเดินขึ้นไป ตามด้วยการอร่อยกับเมนูท้องถิ่นและเดินเล่นเพื่อซึมซับบรรยากาศเงียบสงบของเมืองยามาเดระแห่งนี้
SPOT 24: วัดยามาเดระ
เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟมา 7 นาที ก็จะมาถึงทางขึ้นวัดยามาเดระ (山寺, Yamadera) หรือชื่อทางการคือวัดริชชะคุจิ (立石寺, Risshakuji) เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาและมีวิวทิวทัศน์สวยงามจนนับเป็นจุดชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของโทโฮคุทีเดียว ทางเดินขึ้นเขาไปยังวัดยามาเดระเป็นทางขั้นบันไดกว่า 1,000 ขั้น ระหว่างทางเราจะได้ชมป่าธรรมชาติของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แวะพักที่อาคารวิหารสวยงาม ชมรูปปั้นของกวีชื่อดังมัตสึโอะ บะโช (松尾芭蕉, Matsuo Basho) และเมื่อไปถึงวิหารโกะไดโด (五大堂, Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุด ก็จะได้ชมวิวภูเขาและเมืองโดยรอบแบบพาโนรามาซึ่งสวยจนลืมความเหนื่อยไปได้เลย

การเดินขึ้น-ลงบันไดของยามาเดระนั้นใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ดังนั้นก่อนขึ้นเขา แนะนำให้แวะเติมพลังรองท้องกันก่อนที่ร้านอาหารหน้าทางขึ้นบันไดเพื่อจะได้ไม่หิวกลางทางและจะได้สนุกกับการเดินขึ้นเขากันได้อย่างเต็มที่
วัดยามาเดระ (山寺, Yamadera)
ที่ตั้ง: 4456-1 Yamadera, Yamagata, 999-3301, Japan
เวลาทำการ: 8.00 -16.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: rissyakuji.jp
SPOT 25: เติมพลังกับหลากของอร่อยท้องถิ่นที่ร้าน Enzou
View this post on Instagram
หลังจากเดินขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาและกลับลงมาเรียบร้อย เราจะพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารที่มีให้เลือกมากมายใกล้กับบริเวณวัด โดยมีหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อประจำถิ่นคือโซบะโฮมเมดและซุปอิโมะนิ (いも煮, Imoni) ซุปที่ต้มคอนยัคคุ เผือกและผักอื่นๆ ไว้ด้วยกัน
ร้านหนึ่งใกล้ๆ สถานีรถไฟ Yamadera ที่สามารถลองหลากหลายเมนูท้องถิ่นของยามาเดระได้คือร้าน Enzou (山形蕎麦の焔藏) ร้านอาหารที่มีทั้งเมนูโซบะที่ใช้เส้นนวดมือทำเองของทางร้าน และซุปอิโมะนิที่เต็มไปด้วยเครื่องและผักแบบจัดเต็ม เหมาะกับการนั่งพักเติมพลังหลังจากเดินลงเขาเป็นที่สุด!
Enzou (山形蕎麦の焔藏)
ที่ตั้ง: 4273-1 Yamadera, Yamagata, 999-3301, Japan
เวลาทำการ: 11.00 -15.00 น.วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
Website: t280307.gorp.jp
เมื่ออิ่มอร่อยเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลามานั่ง Toreiyu Tsubasa รถไฟ Joyful Train ที่เป็นไฮไลท์สุดท้ายของทริประหว่างทางกลับโตเกียวกัน
SPOT 26: นั่งรถไฟแช่ออนเซ็นเท้าและชมวิวไปกับ Toreiyu Tsubasa
หลังจากออกจากยามาเดระ เรามุ่งหน้ามาที่ยามากาตะเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังโตเกียว แต่เราจะเพิ่มความพิเศษให้กับการเดินทางเพื่อทิ้งท้ายทริปนี้กันด้วยการนั่ง Toreiyu Tsubasa (とれいゆつばさ) หนึ่งในรถไฟ Joyful Train ของโทโฮคุที่มาในธีมออนเซ็นและผลไม้ของยามากาตะโดยเฉพาะ!
Toreiyu Tsubasa เป็นรถไฟชินกันเซ็นที่สื่อถึงออนเซ็นชื่อดังของจังหวัดยามากาตะด้วยการตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปในออนเซ็น เช่นที่นั่งที่มีเสื่อทาทามิและเบาะรองนั่งสุดสบาย พร้อมกิมมิกเล็กๆ อื่นๆ เช่นลวดลายผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของรถไฟ
แต่ที่เป็นไฮไลท์ของรถไฟขบวนนี้ก็ต้องยกให้ออนเซ็นเท้าที่สามารถเข้าไปนั่งแช่เท้าเพลินๆ ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้เป็นเวลา 15 นาที อีกทั้งยังสามารถชมวิวสวยงามของจังหวัดยามากาตะผ่านหน้าต่างรถไฟได้ด้วย

หมายเหตุ: Toreiyu Tsubasa จะวิ่งให้บริการเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น ดังนั้นก่อนจัดทริปขอให้เช็ควันเวลาที่จะเดินทางเพื่อให้พอดีกับวันเดินรถ Toreiyu Tsubasa ด้วย เช่นทริปตามแพลนนี้ควรเริ่มในวันอังคารและมานั่ง Toreiyu Tsubasa ในวันสุดท้ายที่ตรงกับวันเสาร์
กลับมาที่โตเกียวแล้ว!
หลังจากนั่ง Toreiyu Tsubasa มาจนถึงสถานี JR Fukushima เราก็ต่อชินกันเซ็นต่อสุดท้ายเพื่อกลับมาที่โตเกียวในที่สุด! แม้ว่าอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เชื่อว่าการได้เที่ยวทั้งจังหวัดฟุกุชิมะ, อิวาเตะ, อาโอโมริ, อาคิตะ, มิยางิ และยามากาตะทั้งหมด 6 จังหวัดในทริป 5 วันนี้คงเป็นประสบการณ์เที่ยวที่สนุกจุใจและหลากหลายครบรสแน่นอน เพื่อนๆ ที่กำลังมองหาแพลนเที่ยวใหม่ๆ สามารถลองไปเที่ยวตามแพลนนี้ของเรากันได้นะคะ ไม่แน่ว่าในทริปนี้อาจจะทำให้ตกหลุมรักการนั่งรถไฟเที่ยวโทโฮคุจนอยากมาซ้ำก็เป็นได้!
ให้ทริปโทโฮคุง่ายขึ้น! ด้วย JR EAST PASS (Tohoku Area)
JR EAST PASS (Tohoku Area) เป็นตั๋วประเภท Pass จาก JR East ที่จะมาปลดล็อคให้การเดินทางในโทโฮคุง่ายขึ้นในราคาเพียง 20,000 เยน เพียงจองตั๋วออนไลน์แล้วมารับตั๋วที่ญี่ปุ่น เพื่อนๆ ก็สามารถเดินทางไปเที่ยวสถานที่ไฮไลท์ต่างๆ ในโทโฮคุได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการซื้อตั๋วอื่นเพิ่ม และยังนั่งรถไฟและบัสในเครือ JR East ได้ไม่จำกัดรอบตลอดระยะเวลาอายุตั๋ว 5 วัน รวมถึงยังสามารถนั่งชินกันเซนและรถไฟ Joyful Train อย่าง Toreiyu Tsubasa เพื่อเพิ่มสีสันให้กับทริปได้อีกด้วย!
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ JR EAST PASS จองที่นั่งแบบระบุที่นั่งบนชินกันเซนหรือ Joyful Train แบบออนไลน์ได้ฟรี! โดยมีเงื่อนไขเพียงต้องจองล่วงหน้า 1 เดือนเท่านั้น!
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง JR EAST PASS (Tohoku Area)
เกี่ยวกับ JR EAST PASS: jreast.com
จองตั๋ว JR EAST PASS: eki-net.com
Special Thanks
JR EAST