“ใบไม้เปลี่ยนสี” และ “ของกิน” เป็น 2 คำที่นิยามฤดูใบไม้ร่วง และเป็นอะไรที่หลายคนต่างรอให้กลับมาในทุกๆ ปี ก็เนอะ ใครไม่ชอบของอร่อยบ้างล่ะ! และสำหรับใครที่อยากฉลองเทศกาลแห่งสีสันธรรมชาติร้อนแรงพร้อมอร่อยไปกับของกินท้องถิ่นสุดยูนีคประจำฤดูกาล ท็อปและคิน สองนักเขียนของ ANNGLE ขอกวักมือชวนทุกคนขึ้นรถไฟไปจังหวัดฟุกุชิม่า จังหวัดอาคิตะ และจังหวัดอาโอโมริของภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งที่รวมของอร่อยและวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
จังหวัดฟุกุชิม่า
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดฟุกุชิม่า “ปราสาทสึรุกะ”

เริ่มกันที่แรกที่ใกล้โตเกียวที่สุดกันก่อน นั่นคือปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle) ในจังหวัดฟุกุชิม่า ปราสาทสึรุกะตั้งอยู่ในเมืองไอสึ-วากามัตสึ (会津若松, Aizu-Wakamatsu) เมืองที่ผูกอยู่กับประวัติศาสตร์ซามูไร และแน่นอนว่าปราสาทสึรุกะเองก็เป็นฉากหลังในเหตุการณ์สำคัญๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในสงครามโบชินช่วงปีค.ศ. 1868 แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ปัจจุบันปราสาทสึรุกะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองไอสึ-วากามัตสึ และเป็นปราสาทที่มีหลังคาสีแดงซึ่งหาชมได้ยากในบรรดาปราสาททั่วประเทศญี่ปุ่น
และสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพปราสาท ปราสาทสึรุกะเป็นปราสาทที่ว่ากันว่าจะอยู่ตรงไหนก็หามุมสวยถ่ายได้ตลอด โดยเฉพาะช่วงซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง

ตอนที่ท็อปและคินไปถึงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ถึงอย่างนั้นรอบๆ ปราสาทก็มีต้นแปะก๊วยสีเหลืองให้ชมกันแล้ว (ถึงจะยังเหลือสีอมเขียวนิดๆ ของฤดูร้อนอยู่บ้างก็ตาม) ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าสวนปราสาทกว้างขนาดนี้ จะเริ่มถ่ายรูปจากตรงไหนดี แต่ก็ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะเดินแป๊บๆ ก็ได้มุมถ่ายรูปแล้ว ซึ่งจุดแรกคือใต้ต้นแปะก๊วยที่ถูกตัดแต่งกิ่งให้พอมองเงยขึ้นแล้วจะรับกับรูปทรงของปราสาทได้สวยแต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่ ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ พอดี ทำให้ได้แสงโทนอุ่นซึ่งเหมาะกับการถ่ายรูปปราสาทสึรุกะกลางต้นแปะก๊วยสีทองสุดๆ

หลังเก็บรูปจนพอใจก็เดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ซึ่งจะพาเราวนออกมาที่กลางสวนและได้ภาพด้านข้างของปราสาทแบบไกลๆ

จากตรงนั้น พอหันหลังให้ปราสาทเราก็เห็นทิวใบไม้เปลี่ยนสีข้างหลังรั้วไม้ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าที่นั่นคือสวนที่เป็นที่ตั้งของเรือนน้ำชารินคาคุ (茶室麟閣) ตั้งอยู่ และมาเที่ยวปราสาทญี่ปุ่นทั้งที จะไม่แวะพักดื่มชากินขนมก็คงไม่ครบรส!

เรือนน้ำชารินคาคุเป็นเรือนน้ำชาที่ว่ากันว่ากาโม อุจิซาโตะ (蒲生氏郷) เจ้าของปราสาทสึรุกะ ณ ขณะนั้นสร้างขึ้นเพื่ออุปถัมภ์เซ็น โชอัน (千少庵) บุตรชายของเซ็น โนะ ริคิว (千利休) อาจารย์และบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพิธีชงชาอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ถึงจะเคยถูกย้ายที่ตั้งไปที่อื่นมาก่อน แต่ทุกวันนี้เรือนน้ำชารินคาคุกลับมาสู่ปราสาทสึรุกะดังเดิม โดยตั้งอยู่ในสวนญี่ปุ่นเล็กๆ ในบรรยากาศเงียบๆ ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วง แขกที่แวะเข้ามานั่งพักจะได้ดื่มชาพลางชมใบไม้เปลี่ยนสีและรับลมเย็นสดชื่นสบายๆ


ระหว่างเคี้ยวขนมก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายใบไม้สีแสดที่เด่นคู่กับร่มญี่ปุ่นสีแดงไปพลาง เอาแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

อ้อ ถ้าเพื่อนๆ เป็นติ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นล่ะก็ สามารถเดินวนดูรอบเรือนน้ำชาเล็กๆ ที่เปิดให้เราดูบรรยากาศข้างในได้ด้วยนะ

ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle)
ที่อยู่: 1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan
เวลาทำการ: หอปราสาทเปิดให้เข้าได้ 8.30 – 17.00 น. (Last Entry 16.30) และในช่วงกลางคืนสามารถชม Light-up ปราสาทได้
วันหยุด: ไม่มี
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 410 เยน, เด็ก 150 เยน, ค่าเข้าปราสาทที่รวมค่าเข้าห้องน้ำชารินคาคุ 520 เยน
เซ็ทชาและขนม: 600 เยน / ที่
การเดินทาง: นั่งรถบัส Haikara-san หรือ Akabe 20 นาทีจากสถานี JR Aizu-Wakamatsu
Website: tsurugajo.com
มาฟุกุชิม่าก็ต้องกินนี่! คัตสึด้งราดซอส

คัตสึด้งราดซอส? เมนูที่หากินได้ทั่วไปตามร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยเนี่ยนะ? ใช่ คัตสึด้งราดซอสเป็นอาหารขึ้นชื่อของฟุกุชิม่า โดยเฉพาะในเมืองไอสึ-วากามัตสึแห่งนี้ คัตสึด้งราดซอสเป็นเมนูที่ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกนิยมเสิร์ฟกันในช่วงหลังสงครามโลก แต่จนถึงทุกวันนี้ที่มาที่ไปของเมนูนี้ก็ยังเป็นปริศนา
จุดเด่นของคัตสึด้งราดซอสของไอสึ-วากามัตสึก็คือซอสหวานเค็มที่ผ่านการเคี่ยวและปรับสูตรจนได้ซอสเข้มข้น แต่จะอร่อยขนาดไหนนั้นต้องไปพิสูจน์กันเอง และร้านที่เราไปกันก็คือร้าน Katsuichi (とんかつの店かつ一) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Aizu-Wakamatsu ร้านอาจจะดู Local หน่อย แต่แบบนี้แหละอร่อยแน่!
คัตสึด้งราดซอสเสิร์ฟมาในชามใหญ่ที่ปิดฝาไว้ แต่นั่นก็ยังปิดชิ้นหมูทอดคัตสึชิ้นโตไว้ไม่มิด โดยชั้นบนสุดก็คือหมูทอดคัตสึชิ้นหนาที่ราดซอสมาชุ่มๆ ข้างล่างลงไปมีกะหล่ำปลีสดหั่นซอยที่ให้มาไม่ยั้งและข้าวสวยร้อนๆ ที่เยอะพอๆ กัน แว๊บแรกที่เห็นก็คิดในใจอยู่เหมือนกันว่าถ้ากินนี่หมดก็คงไม่ต้องกินอะไรไปอีกเลยทั้งวัน เพราะร้านให้เยอะสะใจมาก

แต่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจะกินไม่หมดเลย เพราะซอสนั้นช่วยให้คีบหมูทอดเข้าปากได้เรื่อยๆ แบบหยุดไม่อยู่ คงเพราะในรสหวานเค็มที่เราคุ้นเคยนั้นมีความเปรี้ยวนิดๆ ซ่อนอยู่ และมีกลิ่นเครื่องเทศบางอย่างอยู่ด้วย ซึ่งจนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ คือซอสนี้เองที่เป็นตัวชูโรงและทำให้อร่อยกับคัตสึด้งราดซอสได้หมดชามแบบที่ไม่รู้สึกเลี่ยนแม้แต่น้อย และถ้ากำลังหิวจัดล่ะก็ ไม่แน่ว่าเพื่อนๆ อาจจะอยากเบิ้ลอีกชามก็ได้นะ!
Katsuichi (とんかつの店かつ一)
ที่อยู่: 9−25 3 Chome, Aizuwakamatsu, Central, Fukushima 965-0037
เวลาทำการ: 11.00-14.00 น. และ 17.00-21.30 น.
วันหยุด: ไม่มี
การเดินทาง: เดิน 6 นาทีจากสถานี JR Aizu-Wakamatsu
จังหวัดอาคิตะ
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดอาคิตะ
ขยับกันขึ้นมาที่จังหวัดอาคิตะ จังหวัดที่อยู่เกือบเหนือสุดของเกาะฮอนชูญี่ปุ่น สำหรับจังหวัดนี้ท็อปกับคินมี 2 ที่ที่อยากแนะนำ!
หุบเขาดาคิกาเอริ

หุบเขาดาคิกาเอริ (抱返り渓谷, Dakigaeri Valley) ตั้งอยู่ในเมืองเซ็มโบคุ (仙北市, Semboku City) และเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอาคิตะ ทันทีที่ลงจากรถตรงทางเข้า เราจะเห็นตัวหุบเขาอยู่ไกลๆ เลยทันที

ช่วงแรกของทางเดินจะเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำ ซึ่งทันทีที่เข้าใต้ร่มไม้ก็รู้สึกได้เลยว่าอากาศเย็นขึ้นอีกระดับในทันที หลังเดินไปสักพักเราจะมาถึงสะพานสีแดงสดที่ให้เราได้เห็นหุบเขาดาคิกาเอริในมุมกว้างได้ใกล้ขึ้นอีกนิด

จากนี้ไปจะเป็นของจริงแล้ว เข้าไปดูกันเลย! เส้นทางเดินหุบเขาดาคิกาเอริเป็นเส้นทางเดินเข้าออกทางเดียว และกว้างพอจะให้คนเดินสวนกันได้ ซึ่งเส้นทางเล็กๆ นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อหุบเขา เพราะในอดีตเส้นทางนี้แคบมากจนตอนเดินสวนกันก็ต้องกอด (抱き, Daki) คนที่เดินสวนมาแล้วหมุนกลับตัว (返り, Kaeri) เพื่อให้ต่างคนต่างเดินผ่านไปได้นั่นเอง

ระหว่างทางเราจะได้เห็นวิวภูเขาที่กำลังค่อยๆ กลายเป็นสีส้มแดงได้แบบใกล้ๆ โดยที่ข้างล่างมีแม่น้ำสีน้ำเงินเข้มอมเขียวไหลผ่านเงียบๆ บอกเลยว่าตลอดระยะทางสั้นๆ นี้ ต้องหยุดแวะถ่ายรูปทุกๆ สิบเมตร เพราะแต่ละจุดมีมุมวิวสวยน่าถ่ายรูปตลอด


และพอเดินลึกเข้าไปจะเริ่มได้วิวเหนือแม่น้ำที่มีภูเขาขนาบข้างด้วย ลองนึกภาพดูว่าถ้าถึงช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็ ที่นี่จะสวยขนาดไหนกัน!

เส้นทางนั้นถือว่าเดินง่ายมากเพราะไม่ได้มีช่วงที่เป็นทางชันเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหินก้อนใหญ่ๆ ฝังอยู่ตามพื้นดินบ้าง เพราะงั้นแนะนำให้ใส่รองเท้าที่เดินคล่องๆ มานะ หลังจากเดินไปถ่ายภาพไปพักใหญ่ๆ ก็มาถึงไฮไลท์ของหุบเขาดาคิกาเอริ นั่นคือน้ำตกมิคาเอริ (見返りの滝, Mikaeri no Taki Falls)

ชื่อของน้ำตกแห่งนี้แปลตรงๆ ได้ว่า “หันกลับไปมอง” ซึ่งก็สมชื่อจริงๆ เพราะทันทีที่เดินลอดอุโมงค์มืดๆ ออกไปแล้วเห็นน้ำตก ก็อยากหันกลับไปมองเรื่อยๆ จนเกือบลืมใบไม้เปลี่ยนสีไปเลย ว่ากันว่าบางคนเห็นเงาผู้หญิงในชุดกิโมโนบนผิวน้ำตกด้วย ไม่ใช่ในเชิงน่ากลัวนะ ฮ่าๆๆ แต่คล้ายๆ กับการที่เราเห็นเงากระต่ายบนดวงจันทร์ ถามว่าท็อปกับคินในตอนนั้นเห็นเงาอะไรไหม? อ๋อเปล่าเลย มัวแต่ถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ จนลืมสังเกตว่าเห็นเป็นเงาอะไรบ้างหรือเปล่า เพราะน้ำตกมิคาเอริสวยมาก จะยืนถ่ายมุมไกลก็ดี หรือจะเข้าไปถ่ายใกล้ๆ ก็ได้ความอลังการเหมือนกัน สมกับเป็นไฮไลท์ของหุบเขาดาคิกาเอริจริงๆ

หุบเขาดาคิกาเอริ (抱返り渓谷, Dakigaeri Valley)
ที่อยู่: Tazawako Sotsuda, Semboku, Akita 014-1113
เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง
วันหยุด: ไม่มี
การเดินทาง: นั่งแท๊กซี่ 12 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
คาคุโนะดาเตะ

คาคุโนะดาเตะ (角館, Kakunodate) เป็นย่านคฤหาสน์ซามูไรที่ยังคงบรรยากาศย้อนยุคไว้เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนเปี๊ยบ และขึ้นชื่อเรื่องต้นชิดาเระซากุระ (枝垂桜, Shidare Sakura) หรือต้นซากุระพันธุ์กิ่งย้อยที่บานให้ชมกันทุกๆ ฤดูใบไม้ผลิ และเป็นดอกไม้ประจำเกียวโต ทำให้คาคุโนะดาเตะมีชื่อเล่นว่า “Little Kyoto แห่งโทโฮคุ” แน่นอนว่าคาคุโนะดาเตะมีชื่อเสียงมากในฐานะจุดชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนจะพากันกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อล่าวิวใบไม้เปลี่ยนสีในบรรยากาศเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของซามูไรอยู่

ระหว่างเดินเลียบไปตามถนน เราจะได้วิวต้นไม้สูงสีแดงส้มแซมเขียวนิดๆ บางต้นมีกิ่งห้อยลงมาตัดกับรั้วไม้สีน้ำตาลดำของคฤหาสน์ซามูไรจนได้ Dynamic ที่น่าถ่ายภาพเก็บมาก

และถ้าเดินมองผ่านๆ ไปตามถนนยังไม่พอ ที่นี่ก็มีร้านค้าและคฤหาสน์ซามูไรที่เปิดให้เข้าไปแวะชมและถ่ายภาพบรรยากาศอาคารเก่าๆ ใต้ต้นไม้ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีได้ เช่นร้านขายเต้าเจี้ยวสูตรเก่าแก่ประจำถิ่น หรือคฤหาสน์ซามูไรอาโอยางิ (角館歴史村・青柳家, Aoyagi Samurai House) ที่นอกจากจะให้เราเข้าไปดูตามห้องต่างๆ ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ซามูไรแล้ว ยังมีพื้นที่สวนญี่ปุ่นให้เดินชมได้ด้วย

เสียดายที่ตอนเราไปถึงยังไม่มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมมากเท่าไหร่ แต่บอกได้ว่าถ้าถึงช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ต้องสวยน่าเดินมากๆ แน่นอน เพราะในสวนของคฤหาสน์หลังอื่นมีต้นที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มต้นให้ชมกันบ้างแล้ว และขนาดต้นยืนเดี่ยวยังดูเด่นขนาดนั้น ถ้าต้นไม้ทั้งถนนเปลี่ยนสีหมดแล้วล่ะก็ ให้เดินถ่ายรูปเป็นช่วงโมงก็ยังไหว!


คาคุโนะดาเตะ (角館, Kakunodate)
ที่อยู่: Kakunodatemachi, Semboku, Akita 014-0331
เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง
วันหยุด: ไม่มี
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
มาอาคิตะก็ต้องกินนี่! อินานิวะอุด้ง

ตอนแรกที่เห็น หลายคนอาจจะสงสัยว่านี่อุด้งจริงๆ ใช่ไหม? เพราะอินานิวะอุด้ง (稲庭うどん, Inaniwa Udon) เป็นอุด้งเส้นเล็กที่ผิดกับเส้นอ้วนๆ ที่เราคุ้นเคยกัน แต่เรื่องความอร่อยนี่ของจริง! เพราะอินานิวะอุด้งถือเป็นหนึ่งในสามอุด้งตัวท็อปของญี่ปุ่น และในอดีตถือเป็นอาหารที่ชนชั้นสูงนิยมส่งเป็นของขวัญให้แก่กัน

และที่ไหนล่ะจะเหมาะกับการชิมอินานิวะอุด้งของดีจังหวัดอาคิตะยิ่งไปกว่าในคาคุโนะดาเตะ! ในย่านนี้มีร้านอาหารมากมายที่เสิร์ฟอินานิวะอุด้งอร่อยๆ เช่นร้าน Kosendo (古泉洞) ที่มีอินานิวะอุด้งหลายแบบให้เลือกชิม โดยจะสั่งเป็นชามเดี่ยวๆ หรือเป็นเซ็ตคู่กับเท็มปุระกรุบกรอบก็ได้ ซึ่งต่อให้เป็นแบบสั่งเดี่ยวๆ ก็จะได้อินานิวะอุด้งชามใหญ่ร้อนๆ หอมฉุยด้วยซุปดาชิมาเสิร์ฟตรงหน้า

เอาล่ะ ได้เวลาหักตะเกี๊ยบเป๊าะ พูดอิทาดาคิมัส แล้วก็ซู้ดดดดดดดดด อ้าว หมดชามแล้ว? เส้นเยอะขนาดนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่? จำได้ว่าคีบเส้นอุด้งเข้าปาก แล้วก็จำได้ว่าเส้นนุ่มลื่นคอมาก แทบไม่ต้องเคี้ยว แถมด้วยความที่เส้นเล็กทำให้ตอนสูดเราได้ซุปดาชิขึ้นมาเต็มปากเต็มคำกว่าอุด้งทั่วไปด้วย เพราะงั้นแน่เลย ถึงเผลอกินหมดไม่รู้ตัว ฮ่าๆๆ ส่วนเห็ดที่อยู่ในซุปจะมีกลิ่นหอมนิดๆ เคี้ยวกรุบๆ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเส้นอุด้งได้ ส่วนเท็มปุระนั้นกรอบมาก กัดทีได้ยินเสียงกร้วมกันทั้งโต๊ะ ยังไม่นับว่าชิ้นใหญ่จุใจด้วย ใครห่วงว่าจะกินแค่อุด้งแล้วไม่อิ่มก็สั่งคู่กับเท็มปุระได้เลย อร่อยและอิ่มชัวร์!

ที่สำคัญเลยคือถ้าอยากพกความอร่อยนี้กลับบ้าน ในร้านค้าต่างๆ ของจังหวัดอาคิตะ โดยเฉพาะในเมืองเซ็มโบคุก็มีเส้นอินานิวะอุด้งแบบแห้งให้ซื้อกลับไปลวกกันได้ด้วย! งานนี้คนรักอุด้งต้องมีกระเป๋าตังค์สั่นแล้วล่ะ
Kosendo (古泉洞)
ที่อยู่: 9−9 Higashikatsurakucho, Kakunodatemachi, Semboku, Akita 014-0325
เวลาทำการ: 11.00-14.30 น. (เปิดถึง 15.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์)
วันหยุด: ไม่มี
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
จังหวัดอาโอโมริ
มากันที่จังหวัดสุดท้ายของเรากันแล้ว นั่นคือจังหวัดอาโอโมริ และจังหวัดนี้คือที่ตั้งของหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดังที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ!
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดอาโอโมริ ปราสาทฮิโรซากิและ Fujita Memorial Garden

ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城, Hirosaki Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิโรซากิ และนั่งรถแท๊กซี่จากสถานี JR Hirosaki ไปถึงได้ในเวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้น สวนปราสาทฮิโรซากิเป็นโลเคชั่นชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมประจำจังหวัดเช่นเดียวกันกับคาคุโนะดาเตะของจังหวัดอาคิตะ เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ จากทางเข้าปราสาท เราจะเดินผ่านต้นไม้ร่มที่กำลังเริ่มทยอยเปลี่ยนสีให้เห็น เสียดายว่ามีเมฆฝนในตอนที่ไปถึง เลยไม่ได้รูปใบไม้เปลี่ยนสีกับท้องฟ้าใสเป็นฉากหลัง แต่ถึงอย่างนั้นใบไม้เปลี่ยนสีก็ยังสีสดสู้วันฟ้าเน่ามากๆ
ก่อนจะถึงปราสาท จุดหนึ่งที่แนะนำให้แวะถ่ายรูปเลยก็คือบนสะพานสีแดงที่เราจะได้วิวคูน้ำรอบปราสาทข้างล่างซึ่งตอนนี้มีใบไม้เปลี่ยนสีขนาบทั้งสองข้าง

ปราสาทฮิโรซากิเป็นปราสาทที่เดิมเคยมีทั้งหมดห้าชั้น แต่เคยถูกทำลายและถูกฟ้าผ่าจนปัจจุบันเหลือเพียงสามชั้นเท่านั้น เห็นเป็นปราสาทที่สวยสภาพดีขนาดนี้ แต่รู้ไหม? ปราสาทแห่งนี้คือที่เดียวในโทโฮคุที่ไม่ได้ถูกบูรณะสร้างใหม่ในยุคปัจจุบัน และนี่เองคือความพิเศษของปราสาทฮิโรซากิที่เรียกให้คนรักสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นและคอประวัติศาสตร์เดินทางมาเยี่ยมชมได้เสมอ

จากบนพื้นที่ของปราสาท เราจะเห็นวิวเมืองฮิโรซากิเบื้องล่างพร้อมกับภูเขาอิวากิที่อยู่ไกลๆ และเห็นเป็นเงาลางๆ ในช่วงบ่ายแก่ๆ แต่ถ้าเป็นช่วงกลางวันและในวันฟ้าแจ่มใสล่ะก็ วิวภูเขาอิวากิจะสวยกว่านี้อีกล้านเท่าเลยทีเดียว! โดยรวมแล้ว ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และกำลังหาโลเคชั่นชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไปได้ง่ายๆ และอยู่ในเมืองล่ะก็ ขอแนะนำสวนปราสาทฮิโรซากิเลย

ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城, Hirosaki Castle)
ที่ตั้ง: 1 Shimoshiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8356
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
วันหยุด: อาคารปราสาทปิด 24 พ.ย. – 31 มี.ค.แต่พื้นที่สวนไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: ค่าเข้าอาคารปราสาทฮิโรซากิ ผู้ใหญ่ 320 เยน เด็ก 100 เยน
การเดินทาง: นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki
Website: hirosakipark.jp
แต่แถวนี้ไม่ได้มีแต่ปราสาทฮิโรซากิเท่านั้น แต่ยังมีอาคารทรงยุโรปมากมายกระจายอยู่รอบๆ ให้เวียนไปชมกันได้ ซึ่งน่าจะถูกใจคนชอบบรรยากาศแนวยุโรปมากทีเดียว สำหรับที่ที่ท็อปและคินไปมาก็คือ Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園)

สวนบรรยากาศน่าเดินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักจัดสวนในปีค.ศ. 1919 และมีเจ้าของเดิมคือฟุจิตะ เคนอิจิผู้เป็นชาวเมืองฮิโรซากิ และต่อมาเปิดให้เป็นพื้นที่สาธารณะในปีค.ศ. 1991 และถือเป็นสวนญี่ปุ่นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคโทโฮคุทีเดียว

พอเดินลอดรั้วไม้เข้าไปเราจะไปโผล่อยู่ในสวนญี่ปุ่นที่จัดวางตามภูมิทัศน์ของสวนให้เป็นธรรมชาติและสวยงาม ภายในสวนมีต้นไม้บางส่วนที่เปลี่ยนสีเรียบร้อยแล้ว มีตั้งแต่สีแดงชาด สีส้ม ไปจนถึงสีเหลืองทอง แต่ด้วยความที่ยังมีไม้ใบเขียวเหลืออยู่นี่เองที่ทำให้ดูรวมๆ แล้วทั้งสวนมีสีสันสวยมากเหมือนภาพวาดของโมเน่ต์

และที่สายถ่ายรูปน่าจะชอบก็คือสวนนี้มีทั้งบ้านสไตล์ญี่ปุ่นและบ้านสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ดังนั้นไปที่นี่ที่เดียวก็เก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีทั้งในบรรยากาศญี่ปุ่นจ๋าและยุโรปคลาสสิกได้ในทริปเดียวเลย

Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園)
ที่ตั้ง: 8-1 Kamishiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8207, Japan
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น. (จำหน่ายตั๋วเข้าจนถึงเวลา 16.30 น.) ,
ช่วงค่ำเปิดให้ชมสวนได้ถึง 20.00 น. (จำหน่ายตั๋วเข้าจนถึงเวลา 19.30 น.)
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: เข้าฟรี
การเดินทาง: นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki
Website: hirosakipark.or.jp
ลำธารโออิราเสะ ทะเลสาบโทวาดะ

ปิดท้ายแบบฟินาเล่กันด้วยที่สุดของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในโทโฮคุ นั่นคือลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流, Oirase Gorge) และทะเลสาบโทวาดะ (十和田湖, Towada Lake) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดอาโอโมริและจังหวัดอาคิตะ และถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ หลายคนนิยมเที่ยวทั้งลำธารและนั่งเรือชมทะเลสาบเพื่อเที่ยวให้เต็มคอร์ส
เราเริ่มกันที่ลำธารโออิราเสะแล้วเดินย้อนขึ้นลำธารไป ปกติแล้วถ้าพูดถึงฤดูใบไม้ร่วง หลายคนจะนึกถึงใบเมเปิ้ลสีส้มแดง แต่ป่าของลำธารโออิราเสะเป็นสีทอง! จะหันไปทางไหนก็มีแต่ใบไม้สีเหลืองอะร้าอร่ามเต็มไปหมด อาจจะต่างไปจากที่หลายคนนึกภาพไว้ แต่เป็นอีกเฉดสีของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยจนรู้เลยว่าต้องอยากมาที่นี่อีกให้ได้แน่ๆ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงจากรถ

ระหว่างเดินไปตามทางเดินชมธรรมชาติเลียบย้อนขึ้นไปตามลำธาร เราจะได้เห็นลำธารใสออกอมฟ้านิดๆ ไหลผ่านให้ได้ฟังเสียงน้ำไปตลอดทาง โดยเหนือหัวมีต้นเมเปิ้ลและต้นไม้อีกสารพัดชนิดที่คอยโปรยใบไม้สีเหลือง ทอง และส้มลงมาเป็นครั้งคราว ต้องบอกก่อนว่าก่อนจะมาที่ลำธารโออิราเสะ ทั้งคินและท็อปเคยเห็นภาพลำธารโออิราเสะในฤดูใบไม้ร่วงมาหลายภาพมาก แต่ทั้งหมดนั้นเทียบกับของจริงไม่ได้เลยสักนิด จนบางทีก็สงสัยว่าต้องมีกล้องดีขนาดไหนถึงจะถ่ายลำธารที่นี่ให้ออกมาสวยได้สมศักดิ์ศรีจริงๆ

พอเดินไปสักระยะจะมีจุดให้เราเดินข้ามสะพาน ซึ่งตอนนั้นเองที่เราจะได้จังหวะถ่ายรูปให้ดูเหมือนยืนอยู่กลางลำธาร และแน่นอนว่าเรามีเพื่อนร่วมทางหลายคนยืนแวะถ่ายรูปเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าเดินติดกับกลุ่มคนเยอะๆ นี่จะเป็นช่วงที่ทุกคนพร้อมใจกันยืนเรียงบนสะพานเพื่อให้ได้วิวลำธารที่สวยที่สุดติดกล้องกลับบ้าน

นอกจากนี้ก็จะมีน้ำตกให้ถ่ายรูปเป็นช่วงๆ ซึ่งบางน้ำตกก็จะทำได้แค่ถ่ายภาพไกลๆ และบางอันก็มีเส้นทางให้เดินเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ ได้เช่นกัน

นอกจากบรรยากาศดีแล้ว บอกเลยว่าอากาศก็ดีมากเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนได้ฟอกปอดไม่ต่างกับตอนเดินเที่ยวคามิโคจิ แต่ที่น่าสนใจคืออากาศที่ลำธารโออิราเสะในฤดูนี้จะมีกลิ่นออกหวานดินๆ ไม้ๆ เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคามิโคจิ ซึ่งให้ความรู้สึกสมกับเป็นฤดูใบไม้ร่วงมากเลย
ลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流, Oirase Gorge)
ที่อยู่: 60 Okuse, Towada, Aomori 034-0301
เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง
วันหยุด: ไม่มี
การเดินทาง: นั่งรถบัส 2-3 ชั่วโมงจากสถานี JR Hachinohe / JR Shichinohe-Towada

หลังจากเดินสูดอากาศจนพอใจแล้ว ก็ได้เวลานั่งรถต่ออีกนิดเพื่อไปยังทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น และมีความลึกเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ที่นี่เราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอีกเฉดหนึ่งที่ต่างไปจากลำธารโออิราเสะ โดยภูเขาที่ล้อมรอบทะเลสาบโทวาดะจะมีสีส้มเข้มจนบางครั้งถ้ามองในแดดก็สีคล้ายทองแดงก็ว่าได้ สิ่งที่ทำให้วิวที่นี่สวยมากก็คือความที่สีแสดของใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขาตัดกับสีน้ำเงินเฉดไพลินของทะเลสาบโทวาดะ

แค่ยืนบนท่าเรือก็ว่าสวยจนตื่นเต้นแล้ว ยิ่งพอได้ขึ้นเรือชมวิวด้วยล่ะก็ บอกเลยว่ามีแต่กดชัตเตอร์กล้องรัวๆ ยกเว้นบางครั้งที่ต้องเบรกไปหลบหนาว เพราะอากาศหนาวมากและลมแรงด้วย บรื๋อ

ระหว่างนั่ง หรือพูดให้ถูกคือเดินวนถ่ายรูปบนเรือ จะมีเสียงประกาศในเรือตลอดเวลาที่คอยแนะนำจุดที่เป็นไฮไลท์ของทะเลสาบโทวาดะให้ฟัง โดยบางจังหวะเรือจะแล่นใกล้เกาะกลางทะเลสาบและทิวต้นไม้ให้ซูมกล้องถ่ายสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีได้ชัดเต็มตา
หลังจากที่เรือพาข้ามฟากจาก Nenokuchi ไปยังจุดพักรถที่อยู่อีกฝั่งแล้ว เราจะมาถึงบริเวณที่มีสัญลักษณ์ประจำทะเลสาบโทวาดะ นั่นก็คือรูปปั้นหญิงสาว Otome no Zou (乙女の像) ซึ่งเป็นผลงานของทาคามุระ โคทาโร กวีและประติมากรชาวญี่ปุ่นที่ถูกมอบให้เป็นสมบัติของพื้นที่นี้เมื่อปี 1953 ในโอกาสครบรอบ 15 ปีของการก่อตั้ง Towada-Hachimantai National Park ที่ครอบคลุมทะเลสาบโทวาดะแห่งนี้นั่นเอง

ปัจจุบัน รูปปั้น Otome no Zou กลายเป็นสัญลักษณ์ของทะเลสาบโทวาดะไปแล้วก็ว่าได้ ระหว่างเดินจากท่าเรือไปยังรูปปั้น เราจะได้ชมวิวทะเลสาบโทวาดะจากชายฝั่งของทะเลสาบไปด้วยในตัว ถือว่าปิดคอร์สชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ลำธารโออิราเสะ-ทะเลสาบโทวาดะได้อย่างสวยงามเลย!

จุดจำหน่ายตั๋วเรือชมทะเลสาบโทวาดะ ฝั่ง Nenokuchi (遊覧船乗船券発売所)
ที่อยู่: Towadakohannenokuchi-471 Okuse, Towada, Aomori 018-5501
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
วันหยุด: ไม่มี
ค่าตั๋ว: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน , เด็ก 750 เยน
การเดินทาง: นั่งรถบัส 2-3 ชั่วโมงจากสถานี JR Hachinohe / JR Shin-Aomori / JR Shichinohe-Towada
Website: toutetsu.co.jp
มาอาโอโมริก็ต้องกินนี่! นกเกะด้ง

ทุกคนรู้ โลกรู้ ว่าอาโอโมริขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสดจากอ่าว แบบนี้จะพลาดได้ไง! แต่ไม่ เราจะไม่ได้ไปกินไคเซ็นด้ง (海鮮丼, ข้าวหน้าอาหารทะเล) ตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วๆ ไป แต่เราจะมากันที่ Aomori Gyosai Center (青森魚菜センター) เพื่อชิมนกเกะด้ง (のっけ丼, Nokkedon) โดยเฉพาะ! นกเกะด้งคืออะไรบินได้ไหม? ไม่ๆ นกเกะด้งคือเมนูข้าวหน้าปลา กุ้ง ไข่ปลา หอยเชลล์ และสารพัดอาหารทะเล ซึ่งจุดที่สนุกก็คือการที่เราเลือกเนื้อโปะข้าวได้ตามใจชอบ ! โดยขั้นแรกเราจะซื้อคูปองมาหนึ่งชุด ชุดละ 10 ใบ

จากนั้นก็แลกข้าวสวยร้อนๆ มาถ้วยนึงแล้วเดินไปตามร้านต่างๆ เพื่อเอาคูปองไปแลกเนื้อปลาที่ชอบหน้าที่ใช่ ซึ่งคุณลุงคุณป้าที่เฟรนลี่ (แถมเชียร์ขายของเก่งมาก) ก็จะจัดเรียงเนื้อปลาลงบนถ้วยของเรา พอคูปองหมดเราก็จะได้นกเกะด้งเต็มชามมาพร้อมกิน!

เรื่องความสดใหม่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบรรดาปลากุ้งหอยที่วางขายตามร้านค้านั้นต่างถูกส่งตรงจากเรือประมง และ Aomori Gyosai Center แห่งนี้ก็เป็นตลาดสดที่ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบสดใหม่อยู่แล้วด้วย ด้วยความสดใหม่ทำให้ไม่ว่าจะคีบอะไรมากินก็หวานอร่อยหมด ทั้งกุ้งกรุบๆ ไข่ปลาดึ๋งดั๋ง ปลาซาบะหอมมัน และที่ยกให้เป็นนัมเบอร์วันของชามก็คือหอยเชลล์ที่เป็นของดีประจำจังหวัดอาโอโมริ และมัน-อร่อย-มาก!! เพราะนอกจากจะชิ้นโตเต็มคำแล้ว ยังเคี้ยวหนุบหนับกำลังดีและหวานมาก ไม่คาวด้วย เพราะงั้นคนที่กลัวอาหารทะเลคาวๆ หายห่วงได้เลย ยิ่งราดซอสโชหยุด้วยแล้วยิ่งอร่อย หรือต่อให้ราดไม่เยอะก็อร่อย! กว่าจะกินหมดชามก็ใช้คำว่า “อร่อย” ไปเปลืองมาก ถ้าจะมีเมนูไหนในจังหวัดอาโอโมริที่พิสูจน์ความสดใหม่และความอร่อยของรสชาติวัตถุดิบแบบเน้นๆ ก็ต้องยกให้นกเกะด้งเลย! แค่นึกถึงก็หิวขึ้นมาอีกรอบแล้ว ช่วยด้วย ฮ่าๆๆ

Aomori Gyosai Center (青森魚菜センター)
ที่อยู่: Towadakohannenokuchi-471 Okuse, Towada, Aomori 018-5501
เวลาทำการ: 7.00-16.00 น. (อาจปิดเวลา 15.00 น. หรือ 17.00 น. ตามแต่ละช่วงฤดู)
วันหยุด: ทุกวันอังคาร
ค่าคูปอง: 2,000 เยน (10 ใบ)
การเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานี JR Aomori
Website: nokkedon.jp
มาอาโอโมริก็ต้องกินนี่! แอปเปิ้ลอาโอโมริ

มาอาโอโมริทั้งทีจะไม่กินแอปเปิ้ลได้ยังไง! เพราะจังหวัดอาโอโมริเป็นจังหวัดที่ยืนหนึ่งเรื่องการผลิตแอปเปิ้ลในญี่ปุ่น จนถึงขั้นมีชื่อเล่นว่า “อาณาจักรแห่งแอปเปิ้ล” ทีเดียว และพอมาถึงอาโอโมริเราก็มีตัวเลือกเยอะมากว่าจะอร่อยกับแอปเปิ้ลแบบไหน แต่เรามาเริ่มกันที่แอปเปิ้ลสดๆ เลยดีกว่า

ที่เมืองฮิโรซากิจะมีสวนแอปเปิ้ลมากมายให้เข้าไปเก็บแอปเปิ้ลกันได้ เช่นที่ Hirosaki Apple Park (弘前市りんご公園) โดยจะมีการกำหนดโควต้าว่าคนหนึ่งเก็บได้กี่ลูก และวันนี้สามารถเก็บแอปเปิ้ลพันธุ์อะไรได้บ้างในบรรดาแอปเปิ้ลหลากสีหลายแบบที่เห็นได้ทั่วทั้งสวน สำหรับตอนที่คินและท็อปไปนั้นเป็นช่วงของการเก็บโฮชิโนะคินคะ (星の金貨) แอปเปิ้ลสีทองสมชื่อ และเป็นสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนตอนแรกอาจจะเผลอคิดว่าเป็นสาลี่ด้วยซ้ำ ส่วนวิธีในการเลือกเด็ดแอปเปิ้ลก็คือให้เลือกลูกที่มีสีแดงเยอะหน่อย เพราะลูกนั้นจะหวาน พอได้คำใบ้ก็เริ่มเด็ดเลย! ซึ่งไม่ต้องหานานมาก เพราะที่นี่มีแอปเปิ้ลลูกโตๆ น่ากินเพียบ

ในเรื่องของรสชาตินั้นบอกเลยว่าอร่อยมาก คิดว่าเป็นแอปเปิ้ลที่หวานที่สุดชนิดหนึ่งเท่าที่เคยกินมา และด้วยความที่ลูกใหญ่มากทำให้กินหมดลูกนึงทีก็อิ่มไปพักใหญ่ๆ เลย ส่วนแอปเปิ้ลพันธุ์ไหนจะพร้อมให้เด็ดตอนเพื่อนๆ มา ไว้มาลุ้นกันตอนมาเที่ยวกันนะ แต่บอกได้อย่างนึงเลยว่าจะพันธุ์ไหนก็อร่อยแน่นอน!
Hirosaki Apple Park (弘前市りんご公園)
ที่อยู่: Terasawa-125 Shimizutomita, Hirosaki, Aomori 036-8262
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
ค่าเข้า: ฟรี ลูกแอปเปิ้ลที่เก็บได้จะคิดราคาตามน้ำหนัก
การเดินทาง: นั่งรถแท๊กซี่ 15 นาทีจากสถานี JR Hirosaki
Website: hirosaki.aomori.jp

อร่อยกับแอปเปิ้ลสดๆ แล้ว ได้เวลามาลองแบบอื่นกันบ้าง เช่นพายแอปเปิ้ล ซึ่งเมืองฮิโรซากิมีพายแอปเปิ้ลหลายแบบของหลากร้านค้าให้เลือกชิม ขนาดว่ามีไกด์แมปสำหรับนักชิมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว

และที่หนึ่งที่เราจะได้อร่อยกับพายแอปเปิ้ลแถมได้บรรยากาศดี๊ดีก็คือที่ Taishō Roman Tea Room (大正浪漫喫茶室) คาเฟ่บรรยากาศห้องน้ำชาสไตล์ตะวันตกใน Former Fujita Family Villa Western Style House (旧藤田家別邸 洋館) ที่จะมีห้องโต๊ะริมหน้าต่างให้เราชมสวนญี่ปุ่นที่ถูกจัดอย่างสวยงามได้พลางจิบกาแฟหรือชาหอมๆ สักถ้วยและตักพายหวานๆ ชิ้นโตเข้าปาก

ลำพังที่นี่ก็มีเมนูพายแอปเปิ้ลให้เลือกกันได้ถึง 9 เมนูแล้ว โดยสามารถสั่งเดี่ยวๆ ก็ได้ หรือจะสั่งเป็นเซ็ทคู่กับกาแฟก็ได้ แน่นอนว่าท็อปและคินที่มีคำขวัญประจำใจว่าทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยกาแฟก็ต้องสั่งกาแฟ สำหรับพายที่จิ้มเลือกมานั้นได้แก่ Nice Life พายแบบเย็นที่แป้งบางๆ และมีไส้เยลลี่และเนื้อแอปเปิ้ลชิ้นโตๆ กับ Le Castle Factory พายอบร้อนแป้งกรอบๆ เนื้อแอปเปิ้ลหวานชุ่มๆ

โดยพายทั้งสองจะมีลูกเล่นนิดนึงคือมีกลิ่นหอมอบเชยซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยดึงความหอมของแป้งและความหวานของแอปเปิ้ลออกมาได้ชนิดที่ตักเข้าปากแล้วอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้เลย และถ้ามีเวลาล่ะก็คงจะนั่งสั่งแอปเปิ้ลมาชิมให้หมดทุกเมนูเท่าที่ร้านมีแล้ว

Former Fujita Family Villa Western Style House (旧藤田家別邸 洋館)
ที่อยู่: 8-1 Kamishiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8207
เวลาทำการ: 9.00-16.30 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
การเดินทาง: นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki

ปิดท้ายกันด้วยเมนูสดชื่นล้างปากกันบ้าง โดยที่ A-Factory ศูนย์จำหน่ายของฝากจังหวัดอาโอโมรินั้นรวมสินค้าทำจากแอปเปิ้ลและของขึ้นชื่ออื่นๆ ของจังหวัดไว้เพียบให้เลือกซื้อกัน แต่นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร้าน gelato natura due ที่เสิร์ฟเจลาโต้ทำจากแอปเปิ้ลพันธุ์ต่างๆ ที่ตู้กระจกจะมีป้ายบอกระดับความหวานและความเปรี้ยวของเจลาโต้แต่ละรสไว้ ช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้นมากเลย!

เนื้อเจลาโต้จะเป็นเนื้อน้ำแข็งเกล็ดๆ สีพาสเทลน่ารักแต่พกความอร่อยของแอปเปิ้ลมาเต็มที่! สำหรับเจลาโต้ที่เลือกกันนั้นได้แก่รสฟุจิ Jonagold ซันสะ และอากาเนะ

ตอนที่ได้ถ้วยมานั้น บอกตามตรงว่าจำไม่ได้ว่าอันไหนเป็นรสไหนบ้าง แต่รู้ว่าอร่อยมาก เนื้อเจลาโตจะเบาๆ และหอมหวานสดชื่นมาก เหมาะกับกินหลังเดินมาเหนื่อยๆ หรือกินล้างปากหลังอร่อยกับอาหารมามากๆ

กินเจลาโต้แล้ว ถ้าเป็นสายดื่มก็เชิญขึ้นชั้นสองของ A-Factory เลย ที่นี่จะมีมุมให้ชิม Apple Cider 4 ตัวที่เป็นสินค้าตัวตึงประจำที่นี่ หลังจากซื้อบัตรเติมเงินที่ร้านอาหารข้างๆ ก็เสียบบัตรที่ตู้แล้วกดตัวที่สนใจเพื่อชิมได้เลย โดยมูลค่าบัตรจะพอสำหรับชิมทั้ง 4 ตัวแบบตัวละช็อตพอดี และมีตั้งแต่ Aomori Cider Sweet – Standard – Dry – Brut ที่ไล่ตั้งแต่แบบดื่มง่ายจนถึงแบบที่รสชาติเข้ม

ส่วนตัวแล้ว ทั้งท็อปและคินลงความเห็นตรงกันว่าชอบแบบที่เข้มขึ้นมาหน่อยเพราะมีโซดาน้อยทำให้ได้กลิ่นและรสของแอปเปิ้ลในเครื่องดื่มได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบอะไรดื่มง่ายก็ขอแนะนำ Sweet – Standard แถมถ้าถูกใจตัวไหนก็ลงไปซื้อที่ชั้น 1 ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งที่ให้เราหิ้วสารพัดของกินของอร่อยที่ทำจากแอปเปิ้ลอาโอโมริกลับบ้านได้ แต่ต้องใจแข็งนิดนึงนะ เพราะที่นี่ของน่าซื้อเยอะมากจริงๆ

A-Factory
ที่อยู่: 1 Chome-4-2 Yanakawa, Aomori, 038-0012
เวลาทำการ: 10.00-19.00 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
การเดินทาง: เดิน 2 นาทีจากสถานี JR Aomori
Website: jre-abc.com
ยังหิวอยู่ไหม? แวะจังหวัดอิวาเตะเลย
สำหรับใครที่หิวระหว่างนั่งรถไฟชินกันเซ็นเที่ยวโทโฮคุ และบังเอิ๊ญญญผ่านแถวๆ จังหวัดอิวาเตะพอดี ก็แวะที่เมืองโมริโอกะได้เลย เพราะว่าที่นี่มีสองเมนูอาหารเส้นชื่อดัง นั่นคือโมริโอกะเรเมง และวังโกะโซบะ

โมริโอกะเรเมง (盛岡冷麺, Morioka Reimen) เป็นอาหารเส้นเสิร์ฟเย็นๆ โดยมีเส้นเรเมงที่เนื้อออกแข็งนิดๆ แต่เคี้ยวสนุก ท็อปปิ้งด้วยผักและเนื้อ ราดซอสหวานเค็มขลุกขลิก และสามารถเลือกได้ว่าจะเอาแบบแยกพริก หรือใส่พริกเยอะเท่าไหร่ แต่จากที่คินซึ่งเป็นคนไม่กินเผ็ดชิมมา เผ็ดของโมริโอกะเรเมงคือเผ็ดทิพย์ กล่าวคือไม่เผ็ดเลย

และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นที่ญี่ปุ่นแล้ว โมริโอกะเรเมงเสิร์ฟมาในชามที่ใหญ่มาก อาจจะใหญ่และเยอะไปสำหรับคนที่ท้องไม่หิวมาก แต่สำหรับคนที่หิวจัดๆ เมนูนี้แหละเอาอยู่ และอร่อยจนจริงๆ แล้วถ้ามีแค่เส้นกับซอสก็เลิศแล้ว แถมถ้าจับคู่กับเนื้อย่างร้อนๆ ล่ะก็ยิ่งฟิน
Pyon-Pyon-Sha (ぴょんぴょん舎)
ที่อยู่: 9-3 Moriokaekimaedori, Morioka, Iwate 020-0034
เวลาทำการ: 11.00-22.00 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
การเดินทาง: เดิน 4 นาทีจากสถานี JR Morioka
Website: pyonpyonsya.co.jp
อีกเมนูขึ้นชื่อก็คือวังโกะโซบะ (わんこそば, Wanko Soba) โซบะที่ใครๆ ที่มาอิวาเตะต่างต้องมาท้าพิสูจน์ขีดจำกัดของตัวเองกันสักครั้ง

วังโกะโซบะเป็นเมนูที่พนักงานจะเสิร์ฟโซบะให้เราทีละถ้วย (ถ้วยหนึ่งจะมีปริมาณเท่ากับโซบะหนึ่งคำพอดี) พร้อมพูดว่า “ไฮ่ จังจัง ไฮ่ ดงดง (เอ้า กินเข้าไปๆ เอ้ากินอีกๆ )” เพื่อเชียร์ให้เรากินเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนตัวช่วยนั้นมีเช่นสาหร่าย เนื้อปลา วาซาบิ และผักดองที่ช่วยตัดรสชาติไม่ให้เลี่ยนโซบะ

แต่ของแบบนี้มันต้องรีบกินก่อนที่กระเพาะจะทันรู้ตัวว่าอิ่ม เพราะงั้นคินที่ตั้งเป้าว่าจะกินให้ถึง 100 ถ้วยเลยไม่ได้แตะเครื่องเคียง ถามว่าสถิติท็อปกับคินอยู่ที่เท่าไหร่? ท็อปหยุดที่ 45 ถ้วยและคินจอดที่ 66 ถ้วยซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเพราะได้ถ้วยที่มีแต่โซบะคำใหญ่ๆ ตัดกำลังในช่วงท้ายทำให้จุกไปซะก่อน ดังนั้นทั้งสองเลยอดได้ป้ายไป เพราะถ้ากินครบ 100 ถ้วย ทางร้านจะให้ป้ายไม้เป็นที่ระลึกว่ากินครบ 100 ถ้วยเป็นของขวัญ (หรือต่อให้กินไม่ครบ ก็ซื้อป้ายไม้ที่ว่านี้กลับไปเองได้เช่นกัน ใช้เงินแก้ปัญหา) สำหรับสถิติที่มากที่สุดนั้น ท็อปกระซิบถามพนักงานมา และได้ข้อมูลว่าผู้ชายอยู่ที่ 450 ถ้วย ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 500 ถ้วย! ถ้าเพื่อนๆ มาอิวาเตะลองมาท้าทายตัวเองกันดูนะ!

Azumaya (そば処 東家)
ที่อยู่: 8-11 Morioka-ekimae Building 2nd Floor, Moriokaekimaedori, Morioka, Iwate 020-0034
เวลาทำการ: 11.00-15.00 น. และ 17.00-20.00 น.
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
การเดินทาง: เดิน 2 นาทีจากสถานี JR Morioka
Website: wankosoba.jp
อยากเที่ยวถ่ายรูปและตระเวนกินให้ได้แบบนี้? เรามีตัวช่วย!
เห็นท็อปกับคินตระเวนเที่ยวโทโฮคุแบบนี้ แถมถ้าดูแผนที่แล้วจะเห็นว่าโทโฮคุเป็นภูมิภาคที่กว้างมาก น่าจะใช้พลังงานและงบไปกับการเดินทางพอตัวอยู่ ขอบอกว่าไม่เลยจ้า เพราะเรามีตัวช่วยอย่าง JR EAST PASS (Tohoku area) ซะอย่าง! ตั๋วราคา 20,000 เยนนี้เป็นตั๋วพิเศษเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ ที่ให้ผู้ถือสามารถนั้งรถไฟและชินกันเซ็นในเครือ JR East ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน จะนั่งไปไหนในโทโฮคุเยอะขนาดไหนก็อยู่ในงบ 20,000 เยนนี้เลย ซึ่งถือว่าคุ้มมาก เพราะลำพังค่ารถไฟชินกันเซ็นจาก JR Tokyo ไป JR Morioka เพียงขาเดียวก็ราคาเริ่มต้นที่ 13,960 เยนแล้ว
แถมเรายังใช้ตั๋วนี้จองที่นั่งบนรถไฟชินกันเซ็นล่วงหน้า 1 เดือนได้ฟรีอีกด้วย งานนี้ท็อปกับคินเลยจองตั๋วจากที่ไทยให้เรียบร้อย พอถึงที่ญี่ปุ่นก็รับตั๋วแล้วเดินทางได้เลยแบบไม่ต้องคอยซื้อตั๋วไปขึ้นรถไฟไป
JR EAST PASS (Tohoku area)
ราคา: ผู้ใหญ่ 20,000 เยน, เด็ก (อายุ 6-11 ปี) 10,000 เยน
ระยะเวลาการใช้ตั๋ว: 5 วันติดกัน
พื้นที่ที่ใช้ตั๋วได้: ภูมิภาคโทโฮคุ, ภูมิภาคคันโต
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อตั๋วได้ที่ Official Website: jreast.co.jp