พูดถึงเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายคนอาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อจังหวัดอิบารากิสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่จังหวัดนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว เพราะเมื่อเทียบกันแล้วอิบารากิมีภาพลักษณ์ของเมืองบ้านนอกบ้านนาอยู่มาก และในการจัดอันดับจังหวัดประจำปีก็มักจะได้อับดับรั้งท้ายอยู่เสมอ ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าอิบารากิเป็นจังหวัดที่น่าเบื่อ
เห็นแบบนี้แต่ว่าความจริงแล้วอิบารากิไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดหรอกนะ จังหวัดนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ทั้งภูเขาและทะเล นอกจากนี้ที่เมืองสุคุบะยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และห้องแล็บมากมาย ซึ่งรวมถึงสถาบันวิจัยทางอวกาศ JAXA ด้วย ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่ได้เป็นรองจังหวัดอื่นเลย ถ้ามีการโปรโมทเพิ่มขึ้นอีกนิดรับรองว่าเด็ดดวง ว่าแล้วก็มาดูกันดีกว่าว่าจังหวัดอิบารากิที่ดูไม่ค่อยมีอะไรนี้มีอะไรให้น่าไปเยือนบ้าง
1. Hitachi Seaside Park (ひたち海浜公園)
คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะต้องเคยเห็นภาพทุ่งดอกไม้นี้มาก่อน ที่นี่คือสวนขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้หลากสายพันธุ์ผลัดเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาล เริ่มตั้งแต่ดอกแดฟโฟดิล (daffodil) ในเดือนเมษายน ดอกเนโมฟีลา (nemophilas) หรือ baby blue eyes ในเดือนพฤษภาคม และหญ้ากอเชียที่กลายเป็นสีแดงในเดือนตุลาคม โดยในช่วงที่ดอกไม้ผลิบานสวนแห่งนี้ก็จะมีอีเวนท์พิเศษจัดขึ้นเป็นประจำ และที่เจ๋งก็คือทุ่งดอกเนโมฟีลาสีฟ้าของที่นี่ได้รับเลือกจาก CNN ให้เป็นหนึ่งใน 31 สถานที่ที่วิวสวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
View this post on Instagram
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 410 เยน / เด็ก 80 เยน
HP: hitachikaihin
2. Aqua World Oarai Aquarium (アクアワールド茨城県大洗水族館)
Aqua World Oarai Aquarium มีทำเลที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทธแปซิฟิก เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันโต จุดเด่นของที่นี่คือการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาผสมผสานอยู่ในอควาเรียม ที่นี่เป็นบ้านของสัตว์น้ำมากกว่า 580 สายพันธุ์ และมีโชว์แสดงความสามารถของสิงโตทะเลและโลมาให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิดเลย
View this post on Instagram
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 1,850 เยน / เด็ก 930 เยน
HP: aquaworld-oarai
3. ศาลเจ้าคาชิมะ (鹿島神宮)
ศาลเจ้าคาชิมะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของศาลเจ้าคาชิมะอื่นๆ มากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 660 ก่อนคริสตศักราช นอกจากจะเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตแล้ว ที่นี่ยังมีชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่พลังวิญญาณแก่กล้าที่สุดในคันโตด้วย โดยมีคาเคมิคาสุจิ โนะ โอคามิ (武神武甕槌大神) หรือเทพเจ้าแห่งชัยชนะ เป็นเทพประจำศาลเจ้า บรรยากาศเงียบสงบที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าคาชิมะทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมาเดินเล่นยามบ่ายและชำระจิตใจไปพร้อมๆ กัน
View this post on Instagram
4. น้ำตกฟุคุโรดะ (袋田の滝)
1 ใน 3 น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น และยังเป็นหนึ่งในน้ำตก 100 แห่งที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย น้ำตกแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในฤดูใบไม้ร่วงที่บรรดานักท่องเที่ยวจะพากันไปชมความงามของใบไม้แดง แต่สำหรับใครที่อยากเห็นน้ำตกในรูปแบบที่ต่างออกไปก็ขอแนะนำให้ลองไปช่วงหน้าหนาวดู เพราะเป็นช่วงเดียวที่จะได้เห็นน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า เฮียวบาคุ (氷瀑) ซึ่งเป็นภาพน่าตื่นตาที่หาชมไม่ได้ง่าย ๆ
View this post on Instagram
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 300 เยน / เด็ก: 150 เยน
5. ไคราคุเอน (偕楽園)
จังหวัดที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอย่างอิบารากิแท้จริงแล้วคือศูนย์รวมของที่เที่ยวสวยงามดี ๆ นี่เอง สำหรับไคราคุเอนนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว สร้างขึ้นโดยโทคุงาวะ นาริอากิ ไดเมียวลำดับที่ 9 แห่งแคว้นมิโตะ ในปีค.ศ. 1842 ปัจจุบันสวนแห่งนี้เป็นทั้งอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ จุดชมวิว และมรดกของประเทศญี่ปุ่น ผู้คนนิยมไปเที่ยวสวนไคราคุเอนในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อชมความงดงามของดอกบ๊วยจะออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งไปทั่ว
View this post on Instagram
6. โคโดคัน (弘道館)
โคโดคันถูกสร้างขึ้นโดยไดเมียวโทคุงาวะ นาริอากิ เพื่อเป็นโรงเรียนสอนเด็กให้เป็นผู้นำในสังคม เมื่อเทียบกับสวนไคราคุเอนที่ดูยิ่งใหญ่อลังการแล้ว โคโดคันก็ดูจะตรงข้ามกันด้วยความเป็นโบราณสถานที่เรียบง่ายและคลาสสิกกว่ามาก อาคารเก่าหลังนี้เปิดให้คนภายนอกเข้าชมได้ ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมลองแวะไปสัมผัสบรรยากาศแบบสมัยก่อนที่นี่ดู
View this post on Instagram
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 200 เยน / เด็ก 100 เยน
HP: koen.pref.ibaraki
7. สะพานแขวนริวจิน (竜神大吊橋)
สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในเกาะหลักฮอนชูของญี่ปุ่นด้วยความยาว 375 เมตร ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีเทศกาลที่ชื่อว่า “ริวจินเคียว โคอิโนโบริ” ที่จะมีการปักธงปลาคาร์ฟแบบที่ใช้ในวันเด็กผู้ชายของญี่ปุ่นเรียงยาวพาดผ่านขนานไปกับสะพานแห่งนี้ สีสันสดใสของธงปลาคาร์ฟที่ตัดกับสีเขียวเข้มของภูเขาทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สวยงามน่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นสีสันของใบไม้ที่ตัดกับสะพานสีฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน
View this post on Instagram
8. ตลาดปลานากามินาโตะ (那珂湊おさかな市場)
จังหวัดอิบารากิตั้งหันหน้าเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งของอาหารทะเลสด ใครชอบทานซูชิหรือซาชิมิต้องไปตลาดปลานากามินาโตะให้ได้เลย ที่นี่นอกจากจะมีอาหารทะเลสดใหม่เรียงรายให้เลือกแล้ว ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูซีฟู้ดส่งตรงจากทะเล และถ้าเพื่อน ๆ ไปเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมละก็ อย่าพลาดเมนูพิเศษสุดนั่นคือซุปปลาตกเบ็ด หรือ angler fish ที่หน้าตาอาจไม่ชวนน้ำลายสอเท่าไหร่ แต่รสชาติจะเป็นยังไง มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องไปลองพิสูจน์!
View this post on Instagram
9. ภูเขาสึคุบะ (筑波山)
ภูเขาสึคุบะถือเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดอิบารากิ และมักจะถูกเปรียบเทียบกับภูเขาไฟฟูจิว่า “ฟูจิทางทิศตะวันตก สึคุบะทางทิศตะวันออก” ความงามของทั้งตัวภูเขาและทิวทัศน์โดยรอบทั้งหมดทำให้ที่นี่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 วิวภูเขาที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว สำหรับคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติ ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ไม่ควรพลาด เพราะมีทั้งเส้นทางเดินเขา กระเช้าไฟฟ้า และรถไฟโมโนเรล นอกจากนี้ระหว่างทางขึ้นเขาก็มีจุดท่องเที่ยวชวนพิศวงที่เต็มไปด้วยของแปลก ๆ ชื่อว่า “Gama Cave, Gama Land” ด้วย
10. หลวงพ่อโตแห่งเมืองอุชิคุ (牛久大仏)
หลวงพ่อโตแห่งเมืองอุชิคุตั้งตระหง่านอยู่ทางตอนใต้ของเมืองสึคุบะ ได้รับการบันทึกลงในกินเนสต์บุ๊คว่าเป็นพระพุทธรูปที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 120 เมตร หรือเทียบได้กับตึก 38 ชั้นเลยทีเดียว เพื่อน ๆ สามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวที่ความสูง 85 เมตร ได้ ถ้าอากาศเป็นใจละก็อาจจะเห็นไปได้ไกลถึงโตเกียวสกายทรีเลยล่ะ
View this post on Instagram
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 800 เยน / เด็ก 400 เยน
เห็นไหมล่ะว่าจังหวัดอิบารากิมีที่เที่ยวสวย ๆ เพียบ แล้วก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเลย ยังไงก็ขอฝากจังหวัดอิบารากิไว้ในอ้อมใจของเพื่อน ๆ ด้วยนะ