เมืองเซนได จังหวัดมิยางิ หรือในอีกชื่อว่า “เมืองแห่งป่า” เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ได้เรียนรู้ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย วันนี้เราอยากจะพาทุก ๆ คนไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองเซนไดกันค่ะ !
เซนไดเป็นเมืองแบบไหนกันนะ
เมืองเซนได เมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ในจังหวัดมิยางิ เมืองนี้มีความเกี่ยวข้องกับนักรบชื่อดังในยุคเซ็นโกคุอย่าง Date Masamune ผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ครองแคว้นคนแรกของเซนได เป็นเมืองที่มีเสน่ห์จากทั้งประวัติศาสตร์ ประเพณี และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีอาหารขึ้นชื่อคือลิ้นวัว (Gyuutan) กับถั่วแระบด (Zudan) ในฤดูร้อนจะมีงานเทศกาล Sendai Tanabata ส่วนในฤดูหนาวจะมีเทศกาล Sendai Hikari no Pegeant ที่จะช่วยแต่งแต้มสีสันให้กับเมืองนี้
ในช่วงระยะที่ผ่านมา เมืองเซนไดได้พัฒนาสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสถานีรถไฟเซนได การเปิดให้บริการรถไฟใต้ดินสาย Toozai อีกทั้งยังเปิดพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Umi no Mori เมื่อปี 2015 ให้นักท่องเที่ยวได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ อีกด้วย
เมืองเซนไดสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่สวยที่สุดจะเป็นดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน เพราะจะได้สัมผัสกับหมู่มวลแมกไม้เขียวขจีไปทั่วทั้งเมืองสมกับที่ได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งป่า
การท่องเที่ยวในเมืองเซนไดสามารถใช้ได้ทั้งรถไฟ JR, รถไฟใต้ดิน และรถบัสท้องถิ่น โดยเฉพาะรถบัส Ruupuru Sendai ที่จะจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ออกเดินรถทุก ๆ 20 นาทีในวันธรรมดา และทุก 15 นาทีในวันหยุด นอกจากนี้ยังมีบัตรโดยสาร One Day Pass ซึ่งสามารถใช้ขึ้นลงรถบัส Ruupuru Sendai และรถไฟใต้ดินไม่จำกัดรอบในหนึ่งวัน ถือว่าสะดวกต่อนักท่องเที่ยวมาก ๆ เลยค่ะ
ซากปราสาทเซนได
ปราสาทเซนได หรือในอีกชื่อว่าปราสาทโอบะ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมากของเมืองเซนได สร้างโดย Date Masamune โดยให้ถือเป็นปราสาทประจำตระกูล Date แต่เนื่องจากว่าตัวปราสาทจริง ๆ ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงหลงเหลือไว้แค่กำแพงหินตั้งสูงตระหง่านกับป้อมประตูธนูโอเทมง ซึ่งเป็นอาคารเดียวในเขตปราสาทที่ได้รับการบูรณะ เมื่อขึ้นไปบนกำแพงหิน จะพบลานโล่ง ๆ ที่มีอนุเสาวรีย์ท่าน Masamune ขี่ม้า หากไปยืนข้าง ๆ อนุเสาวรีย์ จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองเซนไดได้ทั่วทั้งเมืองเหมือนกันท่าน Masamune เป็นจุดถ่ายรูปที่นิยมมาก ๆ และอย่าลืมลองไปชมปราสาทจำลองกับ CG Theater ที่พิพิธภัณฑ์กันด้วยนะคะ
ถนนโจเซนจิ
ถนนโจเซนจิ เรียงรายไปด้วยต้นเคยากิ ทำให้ได้เพลิดเพลินไปกับอากาศบริสุทธิ์ยามที่สายลมพัดผ่าน มีร้านขนมน่ารัก ๆ มากมายทั้งร้านไอศกรีม “Kiseki” ร้านของหวานยอดนิยม “Kazunori Ikeda Individuel” และศูนย์การแสดงศิลปะวัฒนธรรม “Sendai Mediatheque” ที่นอกจากจะใช้จัดแสดงงานศิลปะและเวิร์คช็อปแล้ว ยังมีร้านคาเฟ่สวย ๆ รวมไปถึง Museum Shop ที่จำหน่ายสินค้าครีเอท ๆ เป็นถนนที่เหมาะกับการเดินเล่นถ่ายรูปชิล ๆ เป็นอย่างมาก
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเซนไดอุมิโนะโมริ
View this post on Instagram
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำยอดนิยม เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปี 2015 มีจุดเด่นอยู่ที่การจำลองและจัดแสดงระบบนิเวศของชายฝั่ง Sanriku, อ่าว Matsushima และแม่น้ำ Hirose ในท้องถิ่น รวมถึงแท็งค์น้ำขนาดใหญ่ที่จัดแสดงในธีมทะเลชายฝั่ง Sanriku นอกจากนี้ยังจัดโปรแกรมการแสดงภาพเคลื่อนไหวแบบพาโนรามา 360 องศาที่มีทั้งภาพ เสียง และสัตว์น้ำต่าง ๆ ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ มีการแสดงโชว์น่ารัก ๆ ของโลมา สิงโตทะเล สามารถสัมผัสกับเหล่าเพนกวินน้อยที่จะทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวย และยังมีร้านอาหารกับร้านขายสินค้าออริจินอลของทางพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ
อะคิอุออนเซ็น
ว่ากันว่าอะคิอุออนเซ็น เป็นส่วนหนึ่งของ Naruko Onsenkyou ในจังหวัดมิยางิ กับ Iizaka Onsen ในจังหวัดฟุกุชิมะ อะคิอุออนเซ็นเป็นออนเซ็นธรรมชาติที่เหมาะแก่การไปค้างแรม แต่จะไปเช้าเย็นกลับก็ได้เช่นกัน ในเมืองออนเซ็นแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติคือไรไรเคียวกับน้ำตกอะคิอุชื่อดังที่จะพลาดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารมากมายที่ล้วนใช้พืชผักจากในท้องถิ่น แนะนำว่าควรเช่าจักรยานปั่นไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางธรรมชาติ ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เป็นการพักผ่อนที่ช่วยให้รีเฟรชได้เป็นอย่างดี
หุบเขาลำธารไรไรเคียว
หากพูดถึงอะคิอุออนเซ็น ก็ต้องนึกถึงไรไรเคียว หุบเขาลำธารขนาดเล็กที่แสนสวยงามใจกลางอะคิอุออนเซ็น มีความลึก 20 เมตรและทอดตัวยาวออกไปประมาณ 1 กิโลเมตรจากสะพาน Nozokibashi ที่อยู่ตรงทางเข้าอะคิอุออนเซ็น ด้านปลายน้ำมีทางเดินเลียบไปตามหุบเขา จึงสามารถเพลิดเพลินกับการเดินเล่นพร้อมชมทิวทัศน์ที่สวยงามได้ในทุกฤดูกาล ความจริงแล้วสะพาน Nozokibashi เรียกได้ว่าเป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคู่รัก” เพราะหากมองลงมาจากสะพาน จะพบโขดหินที่มีรูรูปหัวใจ ถ้าได้มาเที่ยวที่นี่ อย่าลืมมาลองตามหาหัวใจกันนะคะ
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว เราก็มีงานเทศกาลท้องถิ่นแถมมาให้ด้วยค่ะ
เทศกาล Sendai Tanabata
จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 – 8 สิงหาคมของทุกปี เป็นงานเทศกาลท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ราว 400 ปีที่แล้ว มีผู้คนเข้าร่วมกว่า 2 ล้านคน มีการตกแต่งต้นไผ่ด้วยของตกแต่งทำมืออย่างสวยงามโอ่อ่า ช่วยแต่งแต้มสีสันให้เมืองเซนไดมีชีวิตชีวามากขึ้น มีร้านขายของตั้งเรียงรายตั้งแต่หน้าสถานีเซนไดไปจนถึง Ichibancho ภายใต้งานล้วนเต็มไปด้วยผู้ร่วมงานในชุดยูกาตะสีสันสดใส นอกจากนี้ในวันที่ 5 สิงหาคม คืนก่อนงานเทศกาล จะมีการจุดดอกไม้ไฟภายในตัวเมืองเซนไดกว่า 16,000 ลูก เป็นเทศกาลฤดูร้อนในท้องถิ่นที่ยิ่งใหญ่และน่าสนใจมาก ๆ เลยค่ะ
เทศกาล Sendai Hikari no Pageant
เทศกาลประดับไฟในช่วงฤดูหนาวของเมืองเซนได จัดขึ้นบริเวณถนนโจเซนจิ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงวันที่ 31 ธันวาคม มีการแสดง Starlight Wink แสนสวยงาม (ทำการแสดงเวลา 18.00, 19.00 และ 20.00 น.) อีกทั้งยังมีคอนเสิร์ตและซานตาคลอสที่จะมาร่วมสร้างสีสันให้กับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน เป็นงานเทศกาลฤดูหนาวที่แสนโรแมนติกและสนุกสนานได้ทั้งครอบครัว
เมืองเซนได เมืองใหญ่ที่มีทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน สถานที่ท่องเที่ยวท้องถิ่นและธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์ เพียงแค่ 2 วัน 1 คืนก็สามารถมาสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับเมืองท้องถิ่นแห่งนี้ได้อย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว ยิ่งตอนนี้เริ่มมีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ – เซนไดแล้วด้วย ทำให้การเดินทางง่ายและสะดวกขึ้นเยอะเลยละค่ะ ลองมาเที่ยวกันให้ได้นะคะ ^^
สรุปเนื้อหาจาก: icotto