มีความเชื่อกันว่าโอกินาว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ นั่นทำให้มีเรื่องราวแปลกๆ มหัศจรรย์ เล่าขานกันมากมาย และครั้งนี้เรามีอันดับเรื่องราวกอสซิปเรื่องแปลกบนดินแดนโอกินาว่าที่ได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมา มาบอกต่อค่ะ…เมื่ออ่านแล้ว…คุณเชื่อหรือไม่? บทความนี้เป็นบทความต่อจาก 9 อันดับกอสซิปเรื่องแปลกของโอกินาว่า! คุณเชื่อหรือไม่? ตอน 1 ไปติดตามกันเลยค่ะ
อันดับ 6 : ตำนานนางเงือกแห่งเกาะอิชิงากิ
ตำนานนางเงือกที่เล่าขานกันในเกาะอิชิงากิเป็นตำนานจากเหตุการณ์จริงที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ในช่วงสมัยเมวะ ปีค.ศ. 1771 แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในเขตอำเภอ แต่ก็นับได้ว่าเป็นการช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก โดยนางเงือกที่ถูกมนุษย์จับได้นั้นได้บอกว่าคลื่นยักษ์สึนามิกำลังซัดเข้ามา
สำหรับคลื่นยักษ์สึนามิแห่งเมวะที่เกิดขึ้นจริงนั้น เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 เมษายน ปีเมวะที่ 8 (ค.ศ.1771) โดยคลื่นยักษ์สึนามินั้นเกิดจากแผ่นดินไหวในหมู่เกาะยาเอะยาม่า นอกชายฝั่งทางทิศใต้เกาะอิชิงากิ คลื่นมีความสูงมากกว่า 30 เมตรในช่วงแรก และมีความสูงถึง 80 เมตรเมื่อมาถึงเกาะอิชิงากิ
ตำนานนางเงือก ISHIGAKISHIMA HOSHINO
อ่านเรื่องเล่านางเงือกแห่งเกาะอิชิงากิได้ที่: นางเงือก ผู้เตือนภัยหรือผู้เรียกหาสึนามิ?
อันดับ 7 : หรือนี่จะคือ “อาณาจักรมู” อาณาจักรโบราณที่สาบสูญ!?
ซากปรักหักพังใต้ท้องทะเลของเกาะโยนากุนิ
ซากปรักหักพังใต้ท้องทะเลของเกาะโยนากุนิที่อยู่ทางตะวันตกสุดของญี่ปุ่นเป็นซากปรักหักพังลึกลับที่ยังไม่ได้รับการอธิบายไขกระจ่างให้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่และใครเป็นผู้สร้าง ทำให้มีเสียงร่ำลือกันว่าคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมู อีกอาณาจักรโบราณที่สาบสูญ
เมื่อปี 1986 ขณะที่อาราตาเกะ คิฮาจิโร่ นักดำน้ำท้องถิ่นกำลังเสาะหาจุดดำน้ำแห่งใหม่ แต่เขากลับค้นพบลักษณะภูมิประเทศเหมือนซากปรักหักพังที่ใต้ท้องทะเลลึกของแหลมอาราคาว่าบานะที่อยู่ทางใต้ของเกาะโยนากุนิ ซึ่งคล้ายคลึงกับคำอธิบายเกี่ยวกับอาณาจักรมู (Mu) จากหนังสือของ พ.อ.เจมส์ เซอร์ชวาร์ด ที่ได้เขียนอธิบายไว้ว่าเป็นอาณาจักรที่จมหายไปในทะเลแปซิฟิกเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่าเกาะอีสเตอร์และหมู่เกาะของโพลีนีเซียเป็นเศษเสี้ยวของอาณาจักรมูที่รอดจากความพินาศไปได้ แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด และไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าเป็นอาณาจักรใหญ่จมอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นจึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันมา ปัจจุบันบริเวณซากปรักหักพังเป็นที่อยู่อาศัยของฉลามหัวค้อนที่ยังคงกุมปริศนามากมายอยู่
อันดับ 8 : ใครๆ ก็ห้ามพูดถึง เทศกาลลึกลับของเกาะอารากุสุคุ
เกาะอารากุสุคุมีชื่อเสียงว่าเป็นจุดดำน้ำตื้นของเกาอิชิงากิ แม้จะเป็นเกาะที่มีผู้คนแวะเวียนมาเที่ยวชมกันมากมาย แต่ปัจจุบันนี้เป็นเกาะร้างที่แทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
แม้จะมีการแนะนำทัวร์ดำน้ำบริเวณเกาะแห่งนี้ แต่ไกด์จะไม่แนะนำให้เดินดุ่มๆ เข้าไปในเกาะอย่างแน่นอน และจะนักท่องเที่ยวจะถูกเตือนไม่ให้เข้าใกล้สถานที่ที่มีอุตาคิอย่างเด็ดขาดด้วย เพราะอุตาคิเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่ที่ห้ามคนภายนอกเกาะเข้ามา
นอกจากนี้ เกาะอารากุสุคุยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ในอดีตบนเกาะไม่มีพืชผลที่จะส่งไปเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่องค์กษัตริย์แห่งอาณาจักรริวกิว ชาวเกาะจึงได้ส่งเนื้อพะยูนให้แทนโดยถือว่าเนื้อพะยูนเป็นยาอายุวัฒนะ อุตาคิบนเกาะแห่งนี้จึงเป็นดินแดนศักดิ์ที่อุทิศแก่ดวงวิญญาณปลาที่ถูกตกไปเป็นเครื่องราชบรรณาการ
นอกจากนี้ บนเกาะยังมีเทศกาลเก็บเกี่ยวบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามใครเข้าไป และเป็นเทศกาลที่จำกัดเฉพาะผู้เกี่ยวข้องบนเกาะเท่านั้นที่เข้าไปในเวลานั้นได้ และยังเป็นที่รู้กันว่าเทศกาลลึกลับประจำปีนี้ เป็นเทศกาลที่ห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด ห้ามถ่ายรูป ห้ามนำข้อมูลไปเผยแพร่ภายนอกเป็นอันขาด
อันดับ 9 : คุบุราบาริแห่งเกาะโยนากุนิ
ในสมัยอาณาจักรริวกิว มีการเรียกเก็บภาษีรัชชูปการด้วยการคำนวณต่อหัวจากจำนวนประชากร ดังนั้นเมื่อมีประชากรมากขึ้นจึงจำเป็นต้องลดจำนวนลง โดยที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่กำจัดเด็กๆ เพื่อลดการเสียภาษี ดังนั้นจึงเป็นสถานที่แห่งความเศร้า เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์จะกระโดดลงไปที่รอยแยกของหินเพื่อทำแท้ง แต่บางครั้งก็พลาดตกลงไปตาย
สำหรับระบบการจัดเก็บภาษีนี้ เป็นระบบที่มีขึ้นตั้งแต่ปี 1637 โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เสียภาษีคือชาย-หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 50 ปี (นับอายุตั้งแต่แรกเกิด) ซึ่งการจัดเก็บภาษีจะทำโดยคำนวณรวมกันระหว่างสภาพที่ดินการทำกินของที่พักอาศัยกับอายุ ดังนั้น เพื่อจำกัดจำนวนประชากร จึงมีเรื่องเล่าว่าในอดีตมีการเกณฑ์หญิงตั้งครรภ์ของแต่ละหมู่บ้านมากระโดดลงไปที่รอยแยกของหินก้อนนี้เพื่อทำแท้งนั่นเอง
ที่มา : rankingshare.jp