“พิพิธภัณฑ์มิโฮะ” พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุดชิค! ออกแบบโดยสถาปนิกระดับโลก

ในบทความนี้จะมาแนะนำที่เที่ยวสุดชิคในเมืองชิกะราคิ จังหวัดชิกะ นั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์มิโฮะ” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมเรื่อง The Tale of the Peach Blossom Spring ของเถายวนหมิง กวีเอกสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ.356-427) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีอะไรให้เราชมบ้าง จะสวยจึ้งแค่ไหน มาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ!

สัมผัสโลกแห่งยูโทเปียที่พิพิธภัณฑ์มิโฮะ

พิพิธภัณฑ์มิโฮะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งอยู่กลางภูเขาในเมืองชิกะราคิ จังหวัดชิกะ ตัวอาคารออกแบบโดย I.M.Pei สถาปนิกชื่อดังระดับโลก มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น เน้นสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ หิน คอนกรีต แก้ว และเหล็ก ตัวอย่างผลงาน เช่น พีระมิดแก้วทางเข้าหลักพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ในปารีส และพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม (โดฮา) ในกาตาร์ ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมผลงานศิลปะตั้งแต่สมัยโบราณของทั้งญี่ปุ่นและทั่วโลกให้ได้ชมกว่า 250 ชิ้น

ไฮไลท์ภายนอกของพิพิธภัณฑ์มิโฮะ

ใครที่ชอบความเป็นศิลปะน่าจะถูกใจพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะทั้งทางเข้า ตัวอาคาร และโถงทางเข้าล้วนได้รับการออกแบบไว้อย่างสวยงามตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าไปชมของจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์

1. ทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์

ก่อนจะเดินเข้าสู่อาคารพิพิธภัณฑ์มิโฮะต้องผ่านอุโมงค์และสะพานแขวน ซึ่งข้างๆ จะมีต้นซากุระย้อยปลูกเรียงรายคล้ายรอต้อนรับทุกคนอยู่ เนื่องจากกำแพงภายในอุโมงค์เป็นสีเงิน พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็จะสะท้อนดอกซากุระ พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็จะสะท้อนใบไม้เปลี่ยนสี ทำให้เราสามารถชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติทั้งสี่ฤดูได้ในมุมมองที่ต่างออกไป ภายในเป็นอุโมงค์กันเสียง ทำให้รู้สึกเงียบสงบเหมือนหลุดไปอีกโลก

2. อาคารที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก

อาคาร “MIHO MUSEUM” ออกแบบโดย I.M.Pei ผู้มีชื่อเสียงจากพีระมิดแก้วของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ตามธีมของอาคารแห่งนี้คือ “Light is the key” โดยได้แรงบันดาลใจมาจากบทประพันธ์ “The Tale of the Peach Blossom Spring” ผลงานของเถาหยวนหมิง กวีเอกแห่งราชวงศ์จีนที่บรรยายถึงแดนแห่งความรื่นรมย์หรือยูโทเปีย คอนเซ็ปต์ดังกล่าวถูกสะท้อนออกมาเป็นหลังคากระจกคล้ายหน้าจั่ว เมื่อแสงแดดส่องลงมาจะทำให้เกิดความสวยงามราวกับหลุดไปดินแดนแห่งความสุข

3. โถงทางเข้าพร้อมวิวแบบพาโนรามา

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย cana (@cana2245)

เมื่อเข้าสู่ทางเข้าของอาคารพิพิธภัณฑ์ เราจะได้พบกับทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาสูงใหญ่ ความสูงของพื้นถูกออกแบบให้รับกับแนวสันเขา ทำให้มองเห็นภูเขาฝั่งตรงข้ามจากหน้าต่างได้พอดี สามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่รับการออกแบบมาอย่างลงตัว

ไฮไลท์ผลงานที่จัดแสดง

แน่นอนว่าเสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์มิโฮะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความสวยงามของตัวอาคารเท่านั้น ผลงานที่จัดแสดงก็สุดปังไม่แพ้กัน อาคารทางทิศใต้มีนิทรรศการถาวรแสดงศิลปะอารยธรรมโบราณทั่วโลก ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จนทำให้เราสามารถสัมผัสประสบการณ์สู่โลกโบราณผ่านงานศิลปะที่จัดแสดง

1. “รูปปั้นเทพฮอรัส” ในห้องโลกอียิปต์โบราณ

เมื่อเข้าสู่ในอาคารทางทิศใต้ สิ่งแรกที่จะได้เห็นคือห้องนิทรรศการอียิปต์ ซึ่งจัดแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับอียิปต์โบราณ ไฮไลท์ของห้องนี้คือรูปปั้นเทพฮอรัส (Horus) หนึ่งในเทพในตำนานไอยคุปต์ มีร่างเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว เป็นรูปปั้นเทพเจ้าจากจักรวรรดิอียิปต์ (New Kingdom of Egypt ; 550 BC– 1069 BC) ว่ากันว่าเป็นของหายาก ตัวรูปปั้นทำจากเงินแท้ ประดับด้วยทองคำ ไพฑูรย์ และคริสตัล

2. “ประติมากรรมอัสซีเรีย” ในห้องโลกเอเชียตะวันตกและกรีก-โรมัน

หลังจากชมนิทรรศการอียิปต์โบราณแล้ว พอลงบันไดมาก็จะเจอห้องนิทรรศการเอเชียตะวันตกและกรีก-โรมัน ในห้องนี้เราสามารถชมผลงานตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมียไปจนถึงอารยธรรมโบราณที่พบในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีจัดแสดงแผ่นหินประติมากรรมอัสซีเรีย ที่ขุดพบจากพระราชวังของชาวอัสซีเรีย เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มาจากบริติชมิวเซียม แผ่นหินอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก เนื่องจากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถสัมผัสกับโลกแห่งยุคโบราณได้ใกล้มากยิ่งขึ้น

3. “พระพุทธรูปคันธาระ” ในห้องโลกเอเชียใต้

ห้องนิทรรศการเอเชียใต้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนิทรรศการเอเชียตะวันตก ทันทีที่เข้ามาในห้องเราจะเห็นพระพุทธรูปคันธาระสูง 250 ซม. จริงๆ แล้วห้องนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดแสดงพระพุทธรูปยืนองค์นี้โดยเฉพาะ แม้จะเป็นพระพุทธรูปศิลปะคันธาระ แต่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกรีกและโรมัน ทำให้หน้าฝรั่งหรือมีพระพักตร์คล้ายเทพกรีก พระเกศาหยิกสลวย และจีบจีวรเป็นริ้วสวย

4. โลกของจีนและภูมิภาคตะวันตก “พรมเปอร์เซียจากยุคราชวงศ์ซาฟาวิยะห์”

ห้องนิทรรศการส่วนท้ายของอาคารทางทิศใต้จัดแสดงผลงานศิลปะจากจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันตก มีขนาดห้องใหญ่กว่าห้องจัดแสดงอื่นๆ ผลงานไฮไลต์คือ พรมเปอร์เซียจากยุคราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ เป็นลายสัตว์และมีแพตเทิร์นเป็นรูปวงกลมอยู่ตรงกลาง ได้รับการรังสรรค์ขึ้นในเปอร์เซียในสมัยราชวงศ์เศาะฟะวียะฮ์ (Safavid Dynasty ; ค.ศ. 1501–ค.ศ. 1736) หนึ่งในราชวงศ์ที่ปกครองอิหร่านในอดีต และมีความยาว 594 ซม. และความกว้าง 320 ซม. ไม่ใช่แค่ขนาดแต่ลวดลายที่ประณีตบรรจงก็เป็นเอกลักษณ์สำคัญของพรมเปอร์เซีย

MIHO MUSEUM

เวลาให้บริการ : 10:00 am to 5:00 pm (เข้าได้ถึง 4:00 pm)
วันปิดทำการ : ทุกวันจันทร์ (หากวันจันทร์เป็นวันหยุดจะปิดในวันอังคาร)
การเดินทาง : แนะนำให้มาจากสถานี Kyoto Station โดยขึ้นรถไฟ JR Tokaido Line มาลงที่สถานี Ishiyama Station ใช้เวลา 15 นาที แล้วนั่งรถบัส Teisan bus หมายเลข 150 ไปยังพิพิธภัณฑ์ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
รายละเอียดเพิ่มเติม : MIHO Museum

เห็นแล้วอยากกรี๊ดออกมาเลยค่ะ ส่วนตัวแล้วถูกจริตกับที่นี่มากๆ ใครที่ชอบอาคารสวยๆ หรือชอบงานศิลปะโบราณลองแวะมาเดินชมดูนะคะ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทรงคุณค่าควรค่าแก่การเยี่ยมชมมากๆ สามารถอยู่ได้ทั้งวันเพราะทางพิพิธภัณฑ์มีร้านอาหารและคาเฟ่ไว้คอยบริการอีกด้วย ญี่ปุ่นก็แค่ปากซอย ไปได้เลยไม่ต้องคอย

สรุปเนื้อหาจาก keihanhotels-resorts

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการ

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save