ผ่านมา 3 วันแล้วสำหรับทริปตะลุยโทโฮคุของพวกเรา มาต่อกันที่การเดินทางช่วง 2 วันที่เหลือกันค่ะ บอกเลยว่ามีไฮไลท์เด็ดๆ รออยู่อีกเพียบ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย
สำหรับใครที่พลาดตอนแรกไป ก็สามารถกลับไปอ่านตอนแรกก่อนได้ที่ Joyful Trip with Joyful Train เที่ยวโทโฮคุตอนเหนือแบบชิวๆ [ตอนแรก]
DAY 4: Toreiyu Tsubasa → Ginzan Onsen
วันนี้ก็ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางกันไกลอีกแล้ว เพื่อไปที่ กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) ที่เที่ยวชื่อดังที่คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ก่อนจะไปถึงจุดมุ่งหมายหลักของวันนี้ ระหว่างทางเราก็มีอีกไฮไลท์หนึ่งคือ การนั่งรถไฟ Toreiyu Tsubasa หรือรถไฟออนเซ็นเท้านั่นเองค่ะ
รถไฟออนเซ็นเท้า Toreiyu Tsubasa
เราเริ่มการเดินทางของวันนี้ด้วยการนั่งชินคันเซ็นออกจากเมืองโมริโอกะ มุ่งหน้าสู่สถานีฟุคุชิมะ (Fukushima Station) เพื่อขึ้นรถไฟไฮไลท์ของเรา Toreiyu Tsubasa เมื่อขึ้นไปบนรถไฟแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือไปจับจองเวลาแช่เท้าก่อนเลย โดยเราได้รอบเวลา 11:00-11:15 มาค่ะ ก่อนจะถึงเวลาแช่ออนเซ็นเท้า เราก็ไปเดินทัวร์รถไฟขบวนนี้กันก่อน


รถไฟ Toreiyu Tsubasa วิ่งเชื่อมระหว่างสถานีฟุคุชิมะ (Fukushima Station) ในจังหวัดฟุคุชิมะ ไปจนถึงสถานีชินโจ (Shinjo Station) ในจังหวัดยามากาตะ เป็นรถไฟชินคันเซ็นที่มีบ่อออนเซ็นสำหรับแช่เท้าที่เรียกว่า อาชิยุ (足湯) ซึ่งระหว่างที่แช่เท้าเราสามารถชมวิวข้างนอกไปด้วยได้ แบ่งออกเป็นสองบ่อใหญ่ๆ โดยในรถไฟตู้ที่ 15 จะเป็นเล้าจ์สำหรับนั่งเล่นหลังแช่เท้า มีที่นั่งที่สามารถจิบเครื่องดื่มและรับประทานของว่างหลังจากแช่เท้าเสร็จแล้วได้ ซึ่งจะมีเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุดิบจากจังหวัดยามากาตะอย่างเช่น เหล้าสาเก ไวน์ ไซเดอร์ และน้ำผลไม้ต่างๆ ให้บริการ
บัตรเข้าออนเซ็นเท้าบน Toreiyu Tsubasa จะถูกจำหน่ายแบบใครมาก่อนได้ก่อน และไม่สามารถจองล่วงหน้าได้ ถ้าเพื่อนๆ สนใจแช่ออนเซ็นเท้า ขอแนะนำให้รีบไปจับจองบัตรกันหลังจากขึ้นรถไฟนะคะ
ราคาบัตร: 450 เยน / คน
ระยะเวลาที่แช่ออนเซ็น: 15 นาที



ส่วนที่ตู้อื่นๆ จะเป็นส่วนของที่นั่งซึ่งตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่น ปูด้วยเสื้อทาทามิ และมีเบาะรองนั่งที่ออกแบบเป็นลายหมากรุกโซกิที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองเทนโด ในจังหวัดยามากาตะเอง นอกจากนั้นยังมีกิมมิคเล็กๆ ในการซ่อนผลไม้ขึ้นชื่อของยามากาตะเอาไว้ด้วยตามที่นั่งในรถไฟแต่ละตู้อีกด้วย


เมื่อรถไฟเริ่มออกเดินทางเราก็กลับมานั่งที่นั่งของเรา โชคดี(?)เราได้ไปซื้อขนมกับเครื่องดื่มเตรียมไว้ ในช่วงระหว่างที่รอเวลาจะไปแช่ออนเซ็นเท้า เราก็เอามากินรอกันก่อน เป็นการจัดปาร์ตี้เล็กๆ นั่งมองวิวสวยๆ จากที่นั่งค่ะ
ก่อนจะถึงคิวของเราสักประมาน 15 นาที เราก็ไปรอกันที่ตู้ที่ 15 ก่อน จากนั้นทางพนักงานจะเรียกเราไปเตรียมตัวพร้อมแจกผ้าผืนเล็กๆ ไว้เพื่อให้เราเช็ดเท้าหลังจากที่แช่เสร็จแล้ว
เมื่อถึงเวลา พนักงานก็จะเรียกเราเข้าไป พร้อมอธิบายว่าควรจะทำยังไง ซึ่งเราจะมีเวลาแช่ 15 นาที เมื่อหมดเวลาแล้ว พนักงานจะมาเรียกอีกที หลังจากที่ได้ฟังอธิบายทุกอย่างเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแช่แล้วจ้า
น้ำอุ่นกำลังสบายเลยละ แถมระหว่างที่แช่ยังได้เห็นวิวสวยๆ ตลอดทาง ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมามากทีเดียวค่ะ


หลังจากที่หมดเวลา 15 นาที เราก็ออกมาแล้วไปนั่งพักที่ตู้ที่ 15 อีกครั้ง เราลองสั่งไซเดอร์ที่พนักงานแนะนำมาลองชิม เค้าแนะนำว่าเครื่องดื่มพวกนี้ใช้วัตถุดิบจากจังหวัดยามากาตะ (น่าสนใจมาก)

ในระหว่างที่ชิลอยู่นี้เราก็ดื่มไซเดอร์อร่อยๆ ไปพร้อมกับชมวิวนอกหน้าต่าง ซึ่งวิวจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตอนที่เรามาคือหน้าร้อน ก็จะเห็นเป็นทุ่งข้าวสีเหลืองอร่าม แต่ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็เห็นวิวต้นไม้จะเป็นสีแดง ส่วนฤดูหนาวทุกอย่างก็จะถูกปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นสีขาวโพลน
ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าตัวรถไฟและประสบการณ์ในการแช่ออนเซนเท้าบวกกับวิวที่ได้เห็นจะดีขนาดนี้ เลยรู้สึกประทับใจมาก คิดว่าคุ้มค่าจริงๆ ค่ะที่ได้มานั่งรถไฟขบวนนี้ เหมาะมากสำหรับการพาครอบครัวที่มีผู้สูงอายุไป หรือแม้แต่คู่รักหนุ่มสาวหรือกลุ่มเพื่อนก็สนุกได้ทั้งนั้น ถือเป็นรถไฟ Joyful Train อีกหนึ่งขบวนที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้มาลองนั่งสักครั้งค่ะ
Toreiyu Tsubasa วิ่งระหว่างสถานีฟุคุชิมะ (Fukushima Station) และสถานีชินโจ (Shinjo Station) แต่วันนี้เราลงที่สถานีโออิชิดะ (Oishida Station) เพื่อที่จะไปต่อรถบัสไปยังกินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) โดยรถบัสจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมายของเรา
Ginzan Onsen หมู่บ้านแห่งออนเซ็น

กินซันออนเซ็น เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่ตั้งอยู่ในเมืองโอบานาซาวะ จังหวัดยามากาตะ ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นแบ่งเขตจังหวัดอิวาเตะ หมู่บ้านแห่งนี้เรียงรายไปด้วยเรือนไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่อยู่เลียบไปกับแม่น้ำ ซึ่งเป็นบรรยากาศแบบสมัยก่อนที่ยังคงมีให้เห็นเรื่อยมาตั้งแต่อดีตเมื่อเริ่มสร้างจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ภายในกินซันออนเซ็นได้อย่างสบายๆ

เมื่อเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้านก็จะพบกับน้ำตกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งมื้อเที่ยงของเราในวันนี้เราก็เลือกร้านโซบะที่ตั้งอยู่ข้างๆ น้ำตกชื่อ Taki mi kan (そば処 滝見館) เพื่อที่จะได้ทานโซบะพร้อมกับดูวิวน้ำตกสวยๆ ไปด้วยค่ะ

ขากลับ เราก็ไปบังเอิญเจอกับร้านขายเต้าหู้ Nogawa Tofuya (野川とうふや) ที่ทั้งร้านขายเฉพาะเต้าหู้ โดยมีเมนูเด็ดคือเต้าหู้ทอด (นามะอาเกะ) ซึ่งร้านนี้เปิดขายมายาวนานมาก ว่ากันว่าเป็นร้านที่เริ่มกิจการมาตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้าน กินซันออนเซ็นแห่งนี้เลยทีเดียว

และที่ใกล้ๆ แถวนั้นก็จะมีบ่อออนเซ็นให้เราแช่เท้าสบายๆ หลังจากเดินมาเหนื่อย เราเลยตัดสินใจนั่งกินเต้าหู้ที่ซื้อมากันตรงนี้

แผนที่กินซันออนเซ็น
หลังจากถ่ายรูปและทานอาหารจนพอใจแล้ว เราก็นั่งรถบัสกลับไปยังสถานีโออิชิดะ (Oishida Station) เพื่อที่จะได้นั่งชินคันเซ็นต่อ ไปยังเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ เพื่อไปหาอาหารเย็นกินกันที่นั่น ซึ่งหากพูดถึงเซนไดแล้วละก็ อาหารที่ทุกคนคิดถึงก็คือ กิวตัน (牛タン) หรือลิ้นวัวย่างนั่นเอง ดังนั้นแน่นอนว่าเมื่อไปถึงเซนไดแล้ว พวกเราก็ต้องไปกินกิวตันให้ได้!
“กิวตัน” ลิ้นวัวย่างของดีประจำเซนได
ใช่แล้ว! กิวตันหรือลิ้นวัวย่างนี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนไดนั่นเองค่ะ เนื่องจากพวกเราอยากกินมาก เลยลองเสิร์ชหาร้านได้มาสองร้าน แต่เลือกไม่ได้ว่าจะไปร้านไหนดี ก็เลยไปลองกินทั้งสองร้านเลย

เวลาสั่งให้สั่งไปเลยว่าเอา Gyutan Set (牛タン定食) ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเอากี่ชิ้น โดยราคาก็จะแตกต่างกันไปตามจำนวนชิ้นที่เลือกค่ะ ในเซ็ทนั้นนอกจากลิ้นวัวย่างแล้ว ยังจะมีข้าวสวยที่หุงผสมกับข้าวสาลีและซุปหางวัวเสิร์ฟมาพร้อมกันอีกด้วย

และไม่ผิดหวังทั้งสองร้าน ทำได้อร่อยจริงๆ ลิ้นบางชิ้นอาจจะเหนียวกัดยากไปหน่อย แต่เราขอให้ทางร้านตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ ด้านรสชาตินั้นก็ทั้งเหนียวนุ่ม อร่อย ไม่เข้มจนเกินไป เหมาะกับการกินกับข้าวสวยร้อนๆ ส่วนซุปหางวัวก็ต้มจนเนื้อเปื้อยกินง่าย อร่อยมากด้วย แนะนำเลยสำหรับใครที่ชอบกินเนื้อเป็นทุนเดิมและได้ผ่านมาที่เมืองเซนไดแห่งนี้ ต้องมาลองกินลิ้นวัวย่างนี้ให้ได้อย่างน้อยสักครั้ง
แผนที่ร้านกิวตัน Aji Tasuke Honten
แผนที่ร้านกิวตัน Umami Tasuke
หลังจากอิ่มเรียบร้อย ก็ถึงเวลานั่งรถไฟชินคันเซนกลับไปพักผ่อนที่โมริโอกะ เพื่อที่จะเตรียมตัวสำหรับวันสุดท้ายของทริปของพวกเราในวันพรุ่งนี้
DAY 5: TOHOKU EMOTION → Kuji Station → TOHOKU EMOTION
วันนี้พวกเราตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น เพราะเราจะไปนั่งรถไฟสุดแสนไฮโซกันค่ะ แต่ก่อนเราจะออกเดินทาง เราไปแวะซื้อขนมปัง Coppeipan ของร้าน Fukuda Pan มา ร้านนี้เป็นร้านที่ดังมากในเมืองโมริโอกะ

หน้าขนมปังนั้นมีทั้งแบบคาวและหวาน โดยแบบคาวก็จะเป็นพวกอาหารอย่างเช่น สลัสไข่ ทูน่า สลัดผัก หรือแม้แต่ของทอดอย่างโคร็อกเกะ ส่วนแบบหวานก็อย่างเช่น แยมผลไม้ต่างๆ เนยสด ชีสครีม และถั่วแดง
หน้าที่เป็นที่นิยมของที่ร้านนี้ แบบหวานก็คือ ถั่วแดง+เนยสด ส่วนแบบคาวทางร้านแนะนำให้เลือก สลัดผัก+ของคาวอื่นๆ (เราเลือกทูน่าไป) ราคาของขนมปังไม่ได้แพงเท่าไหร่ ถ้าเป็นไส้หวานราคาจะอยู่ที่ประมาน 150-200 เยน ส่วนไส้คาวจะแพงขึ้นมาหน่อย ประมาน 300 เยน


ดูจากตัวขนมปังเทียบกับมือเราที่ถือ… โอ้โห ใหญ่ไปไหม ตัวขนมปังนั้นนุ่มนิ่มกำลังดี บวกกับไส่ที่ให้มาไม่น้อยเลยเช่นกัน ขอบอกว่าคุ้มมากนะ คุ้มและอร่อยจริงๆ ใครที่ชอบขนมปังเป็นทุนเดิมด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า ควรไปลองสักครั้งหนึ่ง
แผนที่ร้านขนมปัง Fukuda Pan
หลังจากเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากโรมแรมที่เราพักมาตลอดทั้งทริป และขึ้นชินคันเซ็นไปลงที่สถานีรถไฟฮาชิโนเฮะ (Hachinohe Station) เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถไฟที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของพวกเราในทริปนี้ นั่นก็คือ รถไฟ TOHOKU EMOTION
TOHOKU EMOTION (ขาไป): คอร์สอาหารกลางวันสุดหรู



ขบวนรถไฟภัตตาคาร “TOHOKU EMOTION” จะวิ่งเลียบชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ระหว่างสถานีฮาชิโนเฮะ (Hachinohe Station) ในจังหวัดอาโอโมริ ไปจนถึงสถานีคุจิ (Kuji Station) จังหวัดอิวาเตะ บนเส้นทางรถไฟสายฮาชิโนเฮะ (Hachinohe Line) รวมระยะทาง 64.9 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.


ภายนอกขบวนรถไฟเป็นสีขาว ตกแต่งลวดลายกำแพงอิฐเก๋ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนร้านอาหารด้วยโคมไฟประดับ โดยตู้โดยสารทั้ง 3 ตู้แบ่งเป็นตู้สำหรับโดยสาร (ส่วนห้องอาหาร) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ส่วนที่เป็น Dining Table และส่วนที่เป็นห้องอาหารแบบส่วนตัว ส่วนตู้กลางเป็นห้องครัวแบบเปิดที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ด้วยเคาน์เตอร์บาร์


พวกเราได้นั่งในส่วนที่เป็น Dining Table ซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้เต็มๆ และจะรับประทานอาหารกลางวันแบบคอร์ส เมื่อนั่งประจำที่บนรถไฟแล้วจะมีพนักงานมาอธิบาย พร้อมนำแอปเปิ้ลไซเดอร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ผลิตในจังหวัดอาโอโมริมาเสิร์ฟเป็นเวลคัมดริงค์

สำหรับคอร์สอาหารกลางวันนี้ อาหารทุกอย่างที่เสิร์ฟล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของภูมิภาคโทโฮคุทั้งสิ้น และไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้น แม้แต่ภาชนะที่ใส่อาหารก็ใช้ของที่มาจากภูมิภาคนี้ พร้อมทั้งได้ศิลปินที่เป็นคนพื้นเมืองมาเป็นคนดีไซน์ให้อีกด้วย
เปิดด้วยออเดิร์ฟที่ใช้วัตถุดิบจากภูมิภาคโทโฮคุ ได้แก่ มีทบอลที่จะใช้เนื้อหมูจากจังหวัดอิวาเตะ และหอยเชลล์จากจังหวัดอาโอโมริ โดยในกล่องที่ใส่ออเดิร์ฟมาก็มีนกหวีดลายนกจากเครื่องปั้นดินเผาและวาดลวดลายแบบชิตะคาวาระยากิ ซึ่งเป็นของเล่นพื้นเมืองดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเอโดะของจังหวัดอาโอโมริแถมมาให้เป็นของที่ระลึกด้วย

ส่วนกล่องไม้ที่ใส่ออเดิร์ฟมาเสิร์ฟก็เป็นของประจำจังหวัดฟุกุชิม่า ส่วนดีไซน์ลวดลายกลมๆ ในกล่องก็เป็นฝีมือของศิลปินประจำจังหวัดเอง
เมนูถัดไปคือพาสต้าหมึกปลาหมึกจากจังหวัดอาโอโมริ ตามด้วยจานหลักเป็นเนื้อไก่พันธุ์อาเบโดริของจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งจานที่ใช้ใส่อาหารมาก็เป็นเครื่องปั้นดินเผาแบบโคคุจิยากิประจำจังหวัดอิวาเตะ

ซึ่งในตู้รถไฟตู้ตรงกลางนั้นจะมี Live Kitchen ที่มีเชฟทำอาหารกันสดๆ บนขบวนเลยด้วย อาหารที่มาเสิร์ฟก็คือเชฟเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ บนรถไฟเลย ในเว็บไซต์ของ JR บอกว่า เชฟที่เตรียมอาหารบนรถไฟจะเปลี่ยนปีละ 2 ครั้ง ส่วนเมนูจะเปลี่ยนปีละ 4 ครั้งตามฤดูกาลต่างๆ ตอนเราไปนั้นจะเป็นเมนูช่วงฤดูร้อน (ตอนลงรถไฟ เชฟจะมาบอกลาด้วยตัวเองเลยนะ ใส่ใจสุดๆ)


ในส่วนของเครื่องดื่ม เราสามารถเลือกได้ตามใจเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกฮอลล์อย่างเบียร์ ไวน์แดง ไวน์ขาว หรือจะเป็นเครื่องดื่มพิเศษอย่างแอปเปิ้ลไซเดอร์ที่ใช้แอปเปิ้ลจากจังหวัดอาโอโมริ และเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ไม่มีแอลกฮอล์อย่างน้ำแอปเปิ้ลที่ส่งตรงมาจากอาโอโมริ และน้ำแร่จากถ้ำริวเซนโด หนึ่งในสามถ้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

หลังจากเริ่มอิ่มกันพอประมาณแล้ว สุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) ก็ถึงเวลาของหวาน กล่องที่ใส่ของหวานมาเป็นกล่องที่เพ้นท์แบบไอสุของแบรนด์ BITOWA ประจำจังหวัดฟุกุชิม่า ในระหว่างที่ทานของหวาน เราสามารถเลือกสั่งชาหรือกาแฟมาดื่มได้ด้วยนะคะ


ในระหว่างทางที่ทานอาหารพร้อมกับดูวิวไปเรื่อยๆ ก็จะได้เจอกับกลุ่มชาวบ้านที่จะมียืนโบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นั่งบนรถไฟคันนี้ แต่เนื่องจากวันนี้อากาศไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ก็เลยมีแค่ไม่กี่คนที่มาต้อนรับ แต่แค่ได้เห็นคนมาโบกมือให้ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ
เหตุผลที่ชาวบ้านมาทำแบบนี้ก็เพราะว่าในช่วงที่เกิดภัยพิบัตินั้น ชาวบ้านแถวนี้ก็เดือดร้อนกันมาก แต่เพราะมีรถไฟขบวนนี้วิ่งผ่าน ทำให้แถวนี้มีการพัฒนาและมีเงินหมุนเวียน เหล่าชาวบ้านมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลายคนจึงอยากออกมาต้อนรับเพื่อตอบแทนนักท่องเที่ยวที่นั่งรถไฟขบวนนี้ และเมื่อถึงจุดท่องเที่ยวต่างๆ รถไฟจะชะลอให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอีกด้วย
รถไฟ TOHOKU EMOTION เป็นหนึ่งในรถไฟไม่กี่ขบวนที่ต้องจองแพ๊คเกจท่องเที่ยวเท่านั้นจึงจะขึ้นรถได้ เพื่อนๆ ที่ถือ Japan Rail Pass หรือ JR EAST PASS (Tohoku Area) จึงต้องจองแพ๊คเกจล่วงหน้ากันด้วยนะคะ
คุจิ เมืองที่มีชื่อเสียงจากละครเช้าเรื่อง Amachan
การเดินทางจากสถานีฮาชิโนเฮะ (Hachinohe Station) ไปยังสถานีคุจิ (Kuji Station) นั้นจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อไปถึงเราก็จะได้รับการต้อนรับจากนายสถานีที่ออกมาถือธงต้อนรับพวกเรา

เมืองคุจิแห่งนี้เป็นเมืองที่ใช้ถ่ายทำละครเช้าเรื่อง Amachan หรือชื่อไทย “อามะจัง เด็กน้อยนักดำน้ำ” ของช่อง NHK ที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่ลงไปดำน้ำเก็บหอยเม่นในทะเลนั่นเอง

ในช่วงว่างๆระหว่างรอที่จะนั่งรถไฟ Tohoku Emotion ขากลับ เราก็เดินไปยัง Michi no Eki (道の駅) ซึ่งเดินจากสถานีรถไฟไปเพียงสิบนาที ภายในตึกก็มีจุดที่จัดแสดง รถแห่ที่ใช้ในงานเทศกาลปนะจำเมืองคุจินี้ ที่มีชื่อว่าคุจิอากิมัตสึริ (久慈秋まつり) ซึ่งโดยปกติงานเทศกาลนี้จะจัดในช่วงประมานเดือนกันยายน

และนอกจากนั้นก็ยังมีผักและผลไม้ต่างๆ ขายอีกด้วย ซึ่งทั้งสดและราคาถูกกว่าซื้อในแถบโตเกียวมากๆ ดูจากมะเขือม่วงที่เราถ่ายมา ลูกใหญ่ขนาดนี้ในราคาแค่ 300 เยนเท่านั้นเอง
TOHOKU EMOTION (ขากลับ): บุฟเฟ่ต์ของหวานแสนอร่อย
หลังจากที่เดินเล่นจนจุใจแล้ว เราก็ขึ้นรถไฟ Tohoku Emotion เพื่อเดินทางกลับ โดยคราวนี้เราได้ที่นั่งในตู้โดยสารที่เป็นห้องอาหารแบบส่วนตัว มีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ยังเห็นวิวชัดเจนเหมือนเดิม สำหรับขากลับเราจะได้กินบุฟเฟ่ต์ของหวาน ซึ่งปกติแล้วเราสามารถเดินไปตักเองได้ที่โซน Live Kitchen แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 จึงเปลี่ยนเป็นให้เลือกของหวานที่อยากทานจากที่นั่ง แล้วทางพนักงานจะนำมาเสิร์ฟให้เราแทน



บุฟเฟ่ต์ของหวานดูแลโดยเชฟชนมหวานจาก Hotel Metropolitan Morioka จึงรับประกันได้เลยเรื่องความอร่อย หลังจากรถไฟออกเดินทางได้สักพัก พนักงานก็จะนำเซ็ทขนมเริ่มต้นมาเสิร์ฟ พร้อมแนะนำของหวาน ของว่าง รวมไปถึงเครื่องดื่มที่เราสามารถเลือกได้ตามใจ

บุฟเฟ่ต์ขนมหวานนี้ประกอบด้วยขนมเค้ก ทาร์ต และเยลลี่มากมายหลายประเภท สำหรับใครที่ไม่ถนัดของหวานก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะว่าเค้าเตรียมของคาวที่ใช้วัตุถุดิบจากโทโฮคุอย่างเช่น ชีส แฮม และซีฟู้ดมาให้เลือกทานด้วยเช่นกัน!


ในส่วนของเครื่องดื่มก็มีให้สั่งเพิ่มได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นชาต่างๆ ทั้งเย็นและร้อน หรือน้ำแอปเปิ้ลของจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ปลูกแอปเปิ้ลมากที่สุดในญี่ปุ่น และก็แน่นอนว่ามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บริการด้วยเช่นกัน
การเดินทางจากกลับจากสถานีคุจิไปยังสถานีฮาชิโนเฮะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลากำลังดี เราสามารถเพลิดเพลินไปกับของหวาน ชมวิวนอกหน้าต่าง ถ่ายภาพสวยๆ และพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางได้อย่างสนุกสนาน ขอบอกเลยว่า สาวๆ และคนที่ชอบ afternoon tea ต้องถูกใจบริการนี้อย่างแน่นอน

การเดินทางใดๆ ยอมมีจุดสิ้นสุด และเราก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลาและเดินทางกลับโตเกียวกันซะแล้ว แต่ภาพความทรงจำดีๆ จากการเดินทางครั้งนี้จะยังคงอยู่กับเรา เพื่อที่จะได้นำไปบอกเล่าและแนะนำให้ทุกคนได้ลองมาเที่ยวที่ภูมิภาคโทโฮคุแห่งนี้ให้ได้สักครั้ง…
รู้หรือไม่? เราสามารถเที่ยวทริปนี้อย่างสะดวกและสบายกระเป๋าได้อีกนะ!
ใช่ค่ะ! สำหรับเพื่อนๆ ที่เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น (ไม่ได้ถือวีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน ฯลฯ) สามารถซื้อบัตร JR EAST PASS (Tohoku Area) เพื่อใช้ขึ้นรถไฟทั่วไป รวมถึงรถบัสในเครือ JR (อย่างรถบัสไปทะเลสาบโทวาดะ) และรถไฟ Joyful Train ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบเป็นเวลา 5 วัน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR EAST PASS (Tohoku Area) และสิทธิพิเศษอื่นๆ เฉพาะผู้ถือบัตรได้ที่นี่เลย!