ขึ้นชื่อว่า “ปีใหม่” หลายคนน่าจะมีเป้าหมายต่างๆ ให้กับตัวเองใช่ไหมคะ ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ การวางแพลนออกไปท่องเที่ยวสังสรรค์อาจจะทำได้ไม่สะดวกเท่าไรนัก หรืออาจต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าปกติ ส่วนตัวผู้เขียนเอง ช่วงวิกฤตที่ผ่านมานี้ทำให้เห็นความสำคัญของสุขภาพและการดูแลตัวเองมากกว่าเก่าเยอะเลยละค่ะ (แต่แน่นอนว่าก็ยังคงอยากออกไปท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ ซึมซับบรรยากาศญี่ปุ่นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง)
ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีเป้าหมายในการดูแลตัวเอง “แคร์” ตัวเองให้มากขึ้นในปีนี้ ก็อยากจะเชิญชวนมาแชร์สิ่งที่ตั้งใจจะทำให้ตัวเองในปีนี้ หรือว่าแชร์สิ่งที่ทำแล้วรู้สึกดี อยากแนะนำให้คนอื่นได้ลองทำ ผ่านการคอมเมนต์พูดคุยกัน หรือว่าเขียนแชร์ไว้ตอนที่แชร์บทความนี้ออกไปก็ได้นะคะ
ส่วนตัวผู้เขียน ได้ลองทำในส่วนที่ปกติไม่คิดว่าจะต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ แต่ลองแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ยยย มันดีอะ!” ก็เลยมาขอใช้พื้นที่ตรงนี้แบ่งปันให้ผู้อ่านทุกคนลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกดูค่ะ บอกก่อนนะคะว่าไม่ใช่วิธี Diet เพราะยังทำไม่สำเร็จค่ะ ยังแนะนำใครไม่ได้ (ฮ่าๆ) แต่ว่าสิ่งที่ได้ลองแล้วอยากแนะนำเพื่อนๆ คือ “การดูแลผม” ค่ะ
สาวญี่ปุ่นเข้าร้านทำผมปีละ 12 ครั้ง!!?
ปกติแล้วเราเองก็อาบน้ำสระผม นวดผมแบบทั่วไป ไม่ได้ดูแลอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษมาตลอดค่ะ แต่สมัยที่ไปอยู่ญี่ปุ่นก็ได้ยินว่าสาวญี่ปุ่นเขาเข้ารานทำผมกันถี่มาก (สำหรับเรา) เดือนละครั้งหรือว่ามากกว่านั้นเลยนะ สมัยนั้นยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาทำอะไรกันบ่อยๆ หรือว่าเป็นเพราะเข้าไปทำสี แต่งทรงกันหรือเปล่า ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดจะทำตามเลยค่ะ ถ้าผมเสียก็รอยาวตัดทิ้ง ฝากความหวังไว้กับผมที่จะงอกใหม่เท่านั้น เพราะไม่เคยคิดว่าผมที่เสียไปแล้วมันจะกู้อะไรกลับมาได้ ที่เห็นโฆษณามันก็แค่โฆษณา! แถมร้านทำผมในญี่ปุ่นเนี่ยราคาสูงมากเลยนะเมื่อเทียบกับของไทย โอ้แม่สาวชาวญี่ปุ่นเขาต้องกระเป๋าหนักกันจริงๆ ดูแลตัวเองกันเก่งสุดๆ เลย
(ผู้เขียนเคยลองไปทำสีผมที่ญี่ปุ่นสมัยเป็นนักเรียน ขนาดราคาลดครึ่งนึงแล้วก็ยังโดนไปหมื่นกว่าเยนอยู่ดีค่ะ แต่เรื่องคุณภาพก็เถียงไม่ได้จริงๆ นะเออ!)
พูดมาซะยาว ว่าไม่เข้าใจสาวญี่ปุ่น แต่ปีนี้ดันอยากลองของขึ้นมาซะงั้นค่ะ
ก็แหม… ห่างหายจากร้านทำผมไปนาน ทั้งสถานการณ์โควิดทำให้ไปร้านตัดผมตอนที่อยากไปไม่ได้ กลั้นใจสวมหน้ากากอนามัยซ้อนสองชั้นออกมาข้างนอกทั้งที ขอทำผมสักหน่อยก็แล้วกัน! แถมช่วงหลังมานี้เห็นเพื่อนรอบตัวไปทำผมที่ร้านญี่ปุ่น แล้วก็ไปยาวๆ ไม่นอกใจกลับไปทำร้านไหนอีกเลย ก็เริ่มสงสัยว่ามันมีอะไรดีกันนะ จึงขอออกมาลองของบ้าง
ดูแลผิวหน้า ดูแลผิวกายตัวเองยังทำได้ วันนี้ดูแลผมอีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเนอะ! (อ้างไปงั้น ที่จริงอยากให้ร้านสระผมให้ เกาๆ นวดๆ หัวนานๆ เลยค่ะสบ๊ายยย)
คิดไม่ผิดที่ลองจนต้องมาขอเขียนบทความรีวิว!
ขอสรุปหัวข้อสั้นๆ เป็นเมนูที่วันนี้เราได้ไปลองมาทั้งหมดก่อนนะคะ ได้แก่
- สระ
- ตัด
- ทำสี
- ทรีตเมนต์
โดยทุกอย่างดำเนินการโดยช่างคนไทย “พี่ญา” และผู้ช่วยที่ผ่านการอบรมและประจำอยู่ที่ร้าน 106 Hair Studio ซึ่งเป็นร้านทำผมญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการในไทยค่ะ เราใช้เวลาทำไปทั้งหมดเกือบ 4 ชั่วโมงเลย แต่ว่าจะนานเพราะทำสีด้วยค่ะ
106 Hair Studio
สาขาที่ผู้เขียนไปใช้บริการคือร้าน 106 Hair Studio
เป็นร้านเล็กๆ สีขาว บรรยากาศน่ารัก (มีน้องแมวด้วย) เข้ามาในร้านก็จะมีเสียงต้อนรับจากพนักงานในร้าน มีทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทยเลยค่ะ ขามาวันนี้สมบุกสมบันเล็กน้อย ลง BTS ทองหล่อ ต่อพี่วินพาแว๊นเข้าซอยมาจนถึงหน้าร้าน รู้สึกถึงความร้านญี่ปุ่นในไทยดีเหมือนกันค่ะ 555 แต่ทางร้านบอกว่าที่จริงมีที่จอดรถนะคะ ใครจะขับรถมาก็ได้เช่นกัน (แนะนำให้โทรมาจองล่วงหน้าเพื่อให้ได้ทั้งคิวและที่จอดรถชัวร์ๆ นะคะ) เข้าไปถึงก็คุยกับช่างว่าเราอยากทำอะไรบ้าง อยากได้ผมทรงไหน สีอะไร สรุปได้ปิดท้ายด้วยการทำทรีตเมนต์ให้น้องผมที่ (กำลังจะ) โดนทำร้ายจากการทำสีของเราค่ะ

สระ-ตัด-เตรียมผม
พอตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง จะมีพนักงานมาสอบถามด้วยว่าเราจะรับน้ำอะไรดี Wi-Fi อยู่ตรงนี้นะคะลูกค้า รู้ว่าต้องนานแน่ๆ แจ้งอำนวยความสะดวกไว้ก่อนเลย หลังจากนั้นก็เริ่มจากไปสระผมค่ะ แต่เนื่องจากร้านมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก จึงแบ่งโซนสระกับโซนทำผมแยกกัน เราจะต้องเดินขึ้นชั้นสองไปสระผมก่อน ช่างทำผมเตือนเลยว่าวันนี้เดินขึ้นลงเยอะหน่อยนะคะ เราจะต้องล้างผมกันหลายรอบ แต่ไม่เป็นไรค่ะเพราะปกติไม่ค่อยได้ขยับตัว มาสระผมได้ออกกำลังกายด้วย มองแง่ดีเข้าไว้ 555
พอขึ้นไปนอนรอสระผม ทางร้านจะมีผ้าขนหนูสะอาดมาปิดตาไว้ให้ด้วยค่ะ ทั้งช่วยให้เราเองผ่อนคลายและน้ำก็จะได้ไม่กระเด็นใส่ด้วย และทางร้านยังมีบริการสระผมด้วยโซดา เพื่อล้างสิ่งสกปรกให้หมดจดและไม่ทำร้ายผมด้วยค่ะ ตอนที่นวดหัวก็สบายมากๆ อยากสระผมไปตลอดเลย~
หลังจากสระผมรอบแรกเสร็จ เนื่องจากสีผมที่เราอยากได้เป็นโทนสว่าง ทางร้านก็เลยปรับสภาพสีผมให้อีกประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ แล้วจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนทรีตเมนต์แล้วค่อยไปทำสีผมต่อ
Shiseido – Acid & Heat Treatment ทรีตเมนต์ 5 ขั้นตอน
อ้าว? คิดมาตลอดว่าการทำทรีตเมนต์จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย แต่คุณพี่ญาช่างทำผมของเราก็เหมือนจะเข้าใจว่าลูกค้างง พี่เขาเลยเอาทรีตเมนต์มาให้ดูพร้อมกับคำอธิบายว่าทรีตเมนต์ที่จะทำต่อไปนี้ มีกี่ขั้นตอน และจะทำอะไรบ้างค่ะ
ทรีตเมนต์ที่ร้าน 106 Hair Studio เลือกใช้คือ Acid & Heat Treatment ของ Shiseido ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาเพื่อดูแลผมให้ดีขั้นสุด (มันดีจริงๆ นะคะ!) ซึ่งถ้าหากอยากจะลองก็ต้องมาที่ร้านนี้เท่านั้นด้วยค่ะ โดยมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
Step.0 Shampoo
ขั้นตอนนี้ไม่นับเป็นทรีตเมนต์ แต่ก็เหมือนช่วยเสริมให้ทรีตเมนต์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญหอมมากกกเลยค่ะ! ก่อนจะทำทางร้านจะตักมาให้เราดูเลยว่ากำลังจะพาไปสระผม แล้วก็ให้ลองดมด้วย ซึ่งที่กล้าพูดว่าหอมมาก ก็เพราะว่าขนาดใส่หน้ากากอนามัย กลิ่นก็ยังหอมทะลุมาสก์มาเลยละค่ะ ยิ่งตอนที่สระผมนะคะ ถึงแม้ว่าเราจะมีทั้งหน้ากากนามัยสองชั้นและผ้าปิดตา (ใบหน้านี่คือโดนปิดมิดหมดแล้ว) ก็ยังได้กลิ่นค่ะ อยากจะขอซื้อกลับมาสระที่บ้านเลยทีเดียว ใครที่ชอบกลิ่นดอกไม้หอมให้ความผ่อนคลาย ไม่แสบจมูก หอมอ่อนๆ แต่รู้สึกมีสเน่ห์และหอมยาวนาน ต้องมาลองให้ได้สักครั้งนะคะ
และไม่เพียงกลิ่นหอมอย่างเดียวที่เป็นจุดแข็ง เพราะว่าตั้งแต่ขั้นตอนนี้เลยค่ะที่ส่วนประกอบต่างๆ จะเข้าไปช่วยซ่อมแซมเส้นผมให้สมบูรณ์และมีความทิ้งตัวมากขึ้นค่ะ (บอกเล่า by พี่ญา ช่างทำผมในวันนี้ค่ะ)
Step.1 ทรีตเมนต์แบบไม่ต้องล้างออก
หลังจากสระผมเสร็จแล้ว เราก็ได้เดินลงบันไดกลับมานั่งหน้ากระจกอีกครั้ง คราวนี้พี่ญาและผู้ช่วยก็จะนำทรีตเมนต์ตัวแรกมาลงให้ค่ะ โดยเป็นขวดสเปรย์ฉีดลงบนผม กลิ่นหอมไม่แพ้กันเลยทีเดียว ซึ่งพอฉีดเสร็จแล้วก็ไม่ใช่ปล่อยไว้เฉยๆ แต่ว่าช่างและผู้ช่วยจะกระตุ้นให้ทรีตเมนต์ซึมซับเข้าไปในผมโดยการดึงเบาๆ แล้วลูบ ดึงเบาๆ แล้วลูบ ตั้งแต่โคนผมไปจนถึงปลายผม
Step.2 ทรีตเมนต์แบบล้างออก
เมื่อเสร็จจากตัวแรกแล้ว คราวนี้ทั้งพี่ญาและผู้ช่วยก็จะนำทรีตเมนต์มาลูบผมของเราค่ะ ซึ่งอันนี้จะเป็นทรีตเมนต์แบบต้องล้างออก จึงมีความมันสูงมากค่ะ แต่ก็จะต่างกับเวลาที่เราดูแลผมที่บ้านเองอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ (ทำเองก็คือเท ถูมือ ลูบๆๆ จบ ทรีตเมนต์แบบล้างออกนี่ไม่ซื้อใช้ค่ะ เพราะขี้เกียจ ฮ่าๆ) แต่ที่ร้านจะแบ่งผมเราขึ้นไปเป็นชั้นๆ แล้วลูบจนกว่าจะทั่วเส้นผมทั้งหมดเลยค่ะ ถ้าให้ทำเองที่บ้านละก็…ขี้เกียจก่อนแน่นอน
ทิ้งไว้ไม่เกิน 10 นาที ก็ต้องเดินขึ้นไปล้างผมกันอีกรอบค่ะ
Step.3 ทรีตเมนต์ก่อนทำสี
ขึ้น-ลง ล้างผมหลายรอบจนคนเขียนเริ่มเหนื่อย คุณพี่ช่างเอาทรีตเมนต์มาลงเพิ่มให้อีกแล้วค่ะ พร้อมกับให้ลองจับผมตัวเองดูว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง โอ้คุณพระคุณเจ้า! (โปรดอ่านด้วยสำเนียงเสียงพากย์ไทยโดยพันธมิตร) ทำไมผมนิ่มจัง!! ว่าแต่เรายังไม่ได้ทำสีเลยเนอะ ตอนแรกก็แอบคิดในใจว่าต้องลองดูหลังทำสีดีกว่า ว่าผมจะยังนิ่มแบบนี้ไหม แต่ในแง่ของการทำทรีตเมนต์ ถ้าคนที่อยากมาบำรุงผมอย่างเดียวก็ต้องบอกว่าน่าจะพอใจมากๆ แล้วละค่ะ
ทำสี
ไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ที่ร้านก็เหมือนรู้ใจเราประดั่งโฆษณาใน Facebxxx คิดอะไรอยู่ก็โผล่ขึ้นมาทันที!? เพราะขั้นตอนต่อจากนี้เราจะคั่นเวลาทรีตเมนต์แล้วไปทำสีผมกันค่ะ
สีที่ทำจะเป็นสีของ MILBON ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของแบรนด์นี้ก็คือจะทำให้ผมดูเงางามและดูไม่แข็งค่ะ ข้อเสียคือกลิ่นจะค่อนข้างแรง ชมทรีตเมนต์ Shiseido ว่ากลิ่นหอมทะลุมาสก์มายังไง คราวนี้กลิ่นสี MILBON ก็แอบแรงทะลุมาสก์มาเหมือนกันค่ะ แต่ว่าตลอดการทำผมครั้งนี้เราไม่เจ็บหนังศีรษะหรือมีอาการแสบเลยนะคะ รวมทั้งทางร้านจะมีที่ครอบหูเพื่อกันไม่ให้สีและสารเคมีต่างๆ โดนบริเวณผิวที่บอบบางอย่างหู คอ และใบหน้าด้วยค่ะ นี่เป็นอีกข้อที่ทำให้ทีมแพ้ง่ายอย่างคนเขียนสบายใจเวลาทำผมที่ร้านญี่ปุ่นค่ะ
Step.4 – Step.5 ทรีตเมนต์ปิดท้าย 2 ตัวเป็นอันเสร็จ
หลังจากที่ทำสีผมเสร็จ ก็ต้องขึ้นไปล้างผมกันอีกรอบค่ะ และจบด้วยทรีตเมนต์อีก 2 รอบสุดท้าย ก่อนจะเป็นอันเสร็จขั้นตอนการแต่งสวยดูแลผมในวันนี้ ระหว่างรอทำสีต้องรออีกประมาณเกือบชั่วโมง ผู้เขียนเลยลองชวนช่างทำผมคุยค่ะ (ปกติไม่ค่อยชวนคุยเวลาอยู่ในร้านทำผมเพราะกลัวฮาร์ดเซลล์ แต่ช่างทำผมที่นี่น่ารักมากๆ จนอยากชวนคุยเองเลยค่ะ)
ซึ่งอย่างที่บอกว่าผู้เขียนเองก็รอลุ้นว่าหลังทำสีผมแล้วผมจะยังนุ่มนิ่มเหมือนเดิมไหม เพราะปกติเวลาทำสีผมเสร็จ ผมของเราจะแข็งและหวียากกว่าเดิมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็เลยลองถามถึงกลไกการทำงานของ Shiseido – Acid & Heat Treatment ที่วันนี้ได้ลองไปพลางๆ ค่ะ
กลไกการปรับรูปร่างเส้นผม
พี่ญา (ช่างทำผม) เล่าว่าที่มีหลายขั้นตอน ก็เพราะแต่ละขั้นทำงานต่างกันนี่แหละ! โดยจะเริ่มจากการชะล้างสิ่งสกปรก ทำความสะอาดเส้นผมของเรา จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงค่ะ
โดยพี่เขาอธิบายให้ลองนึกภาพตามว่า ปกติแล้วเส้นผมของคนเรา แต่ละเส้นจะเป็นเส้นตรงทรงกระบอก ซึ่งเมื่อผ่านการทำเคมี โดนความร้อนต่างๆ ก็จะมีส่วนที่ถูกกัดกร่อนออกไป ทำให้เส้นผมแต่ละเส้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีรูปร่างที่เปลี่ยนไป แล้วก็กลายเป็นผมที่เราลูบแล้วรู้สึกว่าไม่ลื่นมือ ไม่เรียบ ชี้ฟู หรือก็คือผมเสียต่างๆ นั่นเอง
การลงทรีตเมนต์รอบนี้ ก็จะช่วยเข้าไปซ่อมแซม ปรับรูปร่างเส้นผมให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ควรจะเป็น และจบที่ขั้นตอนสุดท้ายคือการเคลือบไม่ให้ผมเสียอีกค่ะ
คุยบ้าง เล่นมือถือบ้าง จนถึงเวลาล้างผม ลงทรีตเมนต์ ออกมาเป็นผมสีใหม่ที่ไม่เสียแบบนี้เลยค่ะ!!

อยากบำรุงผมอย่างเดียวก็ทำได้!
สำหรับใครที่อยากให้รางวัลตัวเอง อยากดูแลเส้นผมของเราที่ปกติไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษบ้าง ก็สามารถมาทำทรีตเมนต์อย่างเดียวได้เช่นกันนะคะ
หรือช่วงก่อนวันสำคัญต่างๆ การเลือกมาทำทรีตเมนต์แบบนี้ถือว่าช่วยฟื้นผมเสียให้เป็นผมสวยได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ (ทรีตเมนต์ใช้เวลาทำทั้งหมดประมาณ 60 นาทีเท่านั้น) จากคนที่แวะร้านทำผมปีละครั้งอย่างผู้เขียน สงสัยจะติดใจ ได้หาโอกาสซื้อคอร์สไว้ทำผมปีละหลายๆ ครั้งแล้วแน่เลยค่ะ
ทรีตเมนต์ Shiseido – Acid & Heat Treatment มีให้บริการที่ร้าน 106 Hair Studio ทุกสาขา สามารถลองเช็คโปรฯ จองคิวกับร้านที่ชอบได้จากข้อมูลด้านล่างนะคะ โดยร้านที่ผู้เขียนไปมานี้จะเป็น 106 Hair / coco106 ค่ะ
106 Hair / coco106
เวลาเปิดปิด: 9.00-18.30 น.
Facebook: @106coco
ติดต่อ: (Line) coco106
นอกจากสาขา 106 Hair / coco106 แล้ว ยังมีอีกสองสาขาคือ 106 ANNEX ReMAKE (สาขาสีลม) และ Spa & Hair Lilac by 106Hair (สาขาทองหล่อ ซ.5) ที่สามารถไปตำกันได้ตามสะดวก
106 ANNEX ReMAKE (สาขาสีลม)
เวลาเปิดปิด: 10.00-19.30 น.
Facebook: @106ANNEX
ติดต่อ: (Line) 106Hair ANNEX ReMAKE
Spa & Hair Lilac by 106Hair (สาขาทองหล่อ ซ.5)
เวลาเปิดปิด: 10.00-19.30 น.
Facebook: @LilacHokkaido.by106
ติดต่อ: (Line) LiLAC106
เตือนกันอีกนิดก่อนเลือกทำทรีตเมนต์ตัวนี้
- ทรีตเมนต์ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องบำรุงอย่างสม่ำเสมอ ครั้งแรกของเรา ส่วนตัวคิดว่าเห็นผลชัดมากค่ะ แต่ถ้าหากเวลาผ่านไปสัก 2-3 เดือน ก็คงถึงเวลาที่จะต้องมาซ้ำใหม่อีกครั้งค่ะ (ขอไปเก็บเงินก่อน ฮ่าๆ)
- ทรีตเมนต์ Shiseido – Acid & Heat Treatment เด่นในเรื่องของกลไกการปรับรูปร่างเส้นผม ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการทำก่อนที่จะดัดผม ซึ่งคือการทำให้เส้นผมเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิมค่ะ
- แต่สำหรับคนที่เคยดัดผม และต้องการดูแลให้ผมกลับมานุ่ม มีวอลุ่มและเงางาม ถือว่าเหมาะมากๆ ค่ะ
- แน่นอนว่าทีมผมตรง ที่อยากให้ผมดูมีสุขภาพดียิ่งขึ้น ก็เหมาะกับทรีตเมนต์นี้เช่นกันค่ะ!
อ่านเพิ่มเติมเรื่องทรีตเมนต์และราคาได้ที่นี่
สำหรับผู้เขียนแล้ว การได้ลงทุนดูแลเส้นผม (ซึ่งปกติแทบไม่ได้ทำเลย) ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตัวเอง ตอนนี้ตื่นมาจับผมตัวเองก็มีความสุขค่ะ เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนๆ รอบตัวเข้าร้านญี่ปุ่นแล้วเลิกไม่ได้ แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ สนใจมาให้รางวัลตัวเองกับร้านทำผมญี่ปุ่นบ้างไหมคะ? หรือใครมีเป้าหมายจะทำอะไรเป็นพิเศษในปีนี้ อย่าลืมมาเล่าให้ฟัง หรือจะลองไปดูแลเส้นผมแล้วมาบอกกันบ้างก็ได้นะคะ!