ตามหลักสากลไฟจราจรจะมีทั้งหมด 3 สี คือ สีแดง ที่หมายถึง หยุด สีเหลือง ที่หมายถึง เตรียมหยุด และสีเขียว ที่หมายถึง ให้ผ่านได้ สำหรับสีแดงและสีเหลือง ทุกประเทศต่างเรียกตรงกัน ส่วนสีเขียวนั้น ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยของเราก็จะเรียก สีเขียว แต่ทว่าประเทศญี่ปุ่นกลับเรียกว่า “อาโอะ (青)” ซึ่งหมายถึง “สีฟ้า” โดยไม่เรียกว่า “มิโดริ (緑)” ที่หมายถึง สีเขียว ทำไมญี่ปุ่นถึงเรียกไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ ตามไปไขข้อข้องใจกันค่ะ
ทำไม ไม่ใช่ “สีเขียว” แต่เป็น “สีฟ้า” ?
ไฟจราจรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับท้องถนนในญี่ปุ่น ว่าตามหลักสีสากล ไฟจราจรของญี่ปุ่นจะเรียงลำดับโดย “สีเขียว สีเหลือง และสีแดง” แต่มีเพียงสีเขียวเท่านั้น ที่ชาวญี่ปุ่นเกือบจะทั้งหมดต่างก็เรียกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันคือ “สีฟ้า” ถ้าหากไปต่างประเทศ “สีฟ้า” ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกนั้น มันคือ “สีเขียว” แล้วทำไมชาวญี่ปุ่นถึงเรียกว่าสีฟ้านะ?
ย้อนกลับไปดูประวัติของไฟจราจร ดูเหมือนว่าไฟจราจรได้ถูกพัฒนาขึ้นมาก่อนที่จะมีการใช้รถยนต์เสียอีก โดยไฟจราจรตัวแรกของโลกได้ถูกติดตั้งที่อังกฤษในปีค.ศ. 1868 เพื่อควบคุมการสัญจรของรถม้า สมัยนั้นแสงไฟจราจรใช้แก๊ส ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเหมือนสมัยนี้ และการเปลี่ยนสัญญาณไฟก็เป็นแบบใช้คนกดเพื่อเปลี่ยนสัญญาณอีกด้วย หลังจากนั้นในปีค.ศ. 1918 ก็ได้มีการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติเครื่องแรกของโลกที่ถนนหมายเลข 5 ในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และสัญญาณไฟจราจรแบบเดียวกันนี้ก็ได้ถูกนำมาติดตั้งที่จุดตัดฮิบิยะในกรุงโตเกียว ในปีค.ศ 1935 นับว่าสัญญาณไฟจราจรเครื่องแรกของญี่ปุ่น
นับตั้งแต่นั้นก็ได้มีการกำหนดสีไฟจราจร เป็น “สีเขียว สีเหลือง และสีแดง” ตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยความส่องสว่าง (International Commission on Illumination: CIE) โดยเหตุผลที่เลือก 3 สีนี้ก็เพราะว่า ทั้ง 3 สี มี “ความยาวคลื่น” ที่สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ในระยะไกลก็ตาม ทั้งนี้ยังมีเหตุผลเพิ่มเติมในการเลือกแต่ละสี คือ “สีเขียว” เมื่ออยู่ในแผนที่ เป็นต้น จะเป็นสีที่ตัดกับสีแดงได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะสองสีนี้จะอยู่ใกล้กันก็สามารถระบุได้ว่าเป็นสีเขียวหรือแดง ส่วนสีเหลือง เมื่ออยู่ตรงกลางระหว่างสีเขียวและสีแดงจะทำให้ตัวสีเด่นชัด มองเห็นได้ง่าย และสำหรับสีสุดท้ายอย่างสีแดง เป็นสีใกล้เคียงกับเลือดของมนุษย์ สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล โดยไฟจราจรของญี่ปุ่นในแนวนอนนั้น สีแดงจะอยู่ขวามือสุด แต่สำหรับอเมริกาที่รถวิ่งทางขวา ไฟจราจรสีแดงจะอยู่ซ้ายมือสุด
ทั้งนี้ สีไฟจราจรที่ได้รับอนุญาตให้ใช้มีทั้งหมด 5 สี คือ “สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว และสีฟ้า” โดยไฟจราจรทางเดินรถทั่วไปจะใช้สีเขียว สีเหลือง และสีแดง ส่วนไฟจราจรทางเดินเครื่องบินจะใช้สีขาวและสีฟ้า ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามหลักสากลที่ใช้ทั่วโลก แต่ “สีเขียว” ที่ทั่วโลกต่างเรียกและรับว่ารู้ว่าเป็นสีเขียวนั้น ที่ญี่ปุ่นกลับถูกเรียกว่า “สีฟ้า” ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคนทั่วไปเรียกเท่านั้น ในข้อกฎหมายญี่ปุ่นยังระบุว่าเป็น “สีฟ้า” อย่างชัดเจนอีกด้วย สำหรับเหตุผลนั้น ว่ากันว่าได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน
ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณ มีวัฒนธรรมการเรียกผักผลไม้สีเขียวว่าเป็นสีฟ้ามาอย่างยาวนาน เช่น ผักฟ้า แอบเปิ้ลฟ้า เป็นต้น โดยการเรียกเช่นนี้เป็นลักษณะพฤติกรรมของชาวญี่ปุ่นที่มีมานาน ทำให้คนคุ้นชินกับการเรียกเช่นนั้น เมื่อเห็นไฟจราจรที่มีสีเขียว ชาวญี่ปุ่นจึงเรียกว่าเป็น “สีฟ้า” ด้วยความเคยชิน
การเปลี่ยนมาเป็นสัญญาณไฟจราจรแบบ LED
ระยะหลังมานี้ที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรเป็นแบบ LED มากขึ้น เนื่องจากการใช้แบบ LED ลดการเกิดแสงหลอก เวลาที่แสงอาทิตย์มากระทบที่ไฟจราจร ทำให้มองเห็นง่ายขึ้น พร้อมกับน้ำหนักที่เบาเพียง 10 KG จากของเดิม 20 KG กินไฟน้อยเพียง 10 วัตต์ จาก 60 วัตต์ และถ้าหากมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอสามารถใช้ได้นานถึง 20 ปี ต่อการเปลี่ยน 1 ครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์ที่หลากหลายคุ้มค่ากับการเปลี่ยนจริง ๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นคราวหน้า อาจจะเห็นญี่ปุ่นเปลี่ยนไฟจรจราเป็นแบบ LED ทั่วประเทศก็ได้ค่ะ
สรุปเนื้อหาจาก : news.line.me
ผู้เขียน: KOKATETA