เพิ่งมีการประกาศผลสอบรอบที่ 2/2019 ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ก็มีข่าวการปลอมแปลงผลการสอบวัดระดับความรู้และความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันติดปากว่า JLPT (Japanese Language Proficiency Test) ออกมาซะแล้วค่ะ ซึ่งการสอบ JLPT นี้เป็นสิ่งที่ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นหรือคนที่อยู่ในวงการที่ต้องทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่น รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะประโยชน์ของการสอบJLPT นอกจากจะช่วยให้ผู้เข้าสอบทราบถึงระดับความรู้ความสามารถทางด้านภาษาญี่ปุ่นของตัวเองแล้ว ยังเป็นส่วนที่ฝ่ายบุคคล(HR) ของบริษัทญี่ปุ่นในไทยหลายๆ บริษัทใช้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงินเดือนในตำแหน่งที่ต้องใช้ความรู้และความสามารถทางด้านภาษาญี่ปุ่นของผู้สมัครอีกด้วย
จากการสำรวจถึงวัตถุประสงค์ของการสอบจากทางเว็บไซต์ jlpt.jp ซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดการสอบ JLPT อย่างเป็นทางการพบว่า ผู้สมัครทั่วโลกในปี 2018 กว่า 33.2% ต้องการสอบเพื่อวัดระดับความรู้ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของตัวเอง 23.1% เพื่อหางานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นในประเทศตัวเอง 10.3% เพื่อการหางานและการปรับเลื่อนตำแหน่งในประเทศญี่ปุ่น 10% เพื่อยื่นเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น 7.5% เพื่อยื่นเรียนต่อในคณะที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นในประเทศตัวเอง ตามลำดับ
โดยผลสอบจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ระดับ ตั้งแต่ระดับต่ำที่สุดคือ N5 ซึ่งครอบคลุมความรู้พื้นฐานตั้งแต่การอ่านอักษร ฮิรางานะ คาตาคานะ และคันจิอย่างง่ายที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงระดับสูงสุดคือ N1 ที่มีเนื้อหากว้างขึ้น โดยผู้ที่สอบผ่านระดับนี้จะต้องสามารถเข้าใจโครงสร้างของภาษาญี่ปุ่นระดับสูงจนถึงขั้นฟังข่าวที่มีข่าวเร็วระดับปกติที่คนญี่ปุ่นฟังรู้เรื่อง สามารถอ่านหนังสือพิมพ์หรือบทความต่างๆที่มีความซับซ้อนได้ ซึ่งผู้เขียนเคยคุยกับเพื่อนที่เรียนปริญญญาโทอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น พบว่า ระดับN1 ที่ว่าสูงสุดแล้ว ยังไม่เพียงพอต่อการเขียนวิทยาพนธ์เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ พอจะเห็นความยากตรงนี้ไหมคะ?
การสอบ JLPT นั้นจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ทุกๆวันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคมและเดือนธันวาคม มีสนามสอบทั้งภายในและนอกประเทศญี่ปุ่น จากข้อมูลของผู้จัดสอบ JLPT นั้น พบว่าอัตราการสอบผ่านในรอบเดือนกรกฎาคมปี 2019 ที่ผ่านมาในระดับ N1 (ระดับสูงสุด) มีผู้สอบผ่านเพียง 29.3% ระดับ N2 (ภาษาญี่ปุ่นระดับสูง -ญี่ปุ่นธุรกิจ) 36.0% ระดับ N3 (ภาษาญี่ปุ่นระดับกลาง) 39.4% ระดับ N4 (ระดับพื้นฐาน) 32.7% N5 (ระดับพื้นฐานที่สุด) 47.6% และโดยภาพรวมทั้งหมดคือผ่านกันแค่ 36.1% เท่านั้น
JLPT ถือป็นผลสอบขั้นพื้นที่ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นควรมี แต่จากอัตราการสอบผ่านนั้นที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้สูงเท่าความต้องการของตลาดแรงงาน จึงมีผู้ค้าหัวใส ปลอมแปลงผลสอบการวัดระดับความรู้ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นนี้ขึ้น เพื่อเป็นใบเบิกทางให้แก่ลูกค้าที่ต้องการหางานในประเทศญี่ปุ่น
อาชีพและระดับภาษาที่ต้องการใช้ผลสอบ JLPT
จากประสบการณ์ของผู้เขียน มีหลายๆ งานที่ต้องการผลสอบ JLPT ของพนักงานที่ไม่ได้มีสัญชาติญี่ปุ่นค่ะ มีหน่วยงานที่จัดทำข้อสอบและจัดการสอบอย่างเป็นทางการคือ JEES (Japan Education Exchanges and Services) โดย(ส่วนใหญ่)จะเรียกดูผลสอบดังนี้
N1: บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่สายการบิน งานที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการญี่ปุ่น ล่าม อาจารย์มหาวิทยาลัย(ที่ต้องทำการสอนเป็นภาษาญี่ปุ่น) ผู้ประกาศข่าว นักเขียน ทนาย ผู้ช่วยทนาย พนักงานบัญชี ฯลฯ
N2: พนักงานขาย พนักงานตอนรับในโรงแรม เจ้าหน้าที่สายการบิน พนักงานต้องรับบนเครื่องบิน ล่าม พนักงานการตลาด ผู้ประสานงานโครงการ นักเขียน เจ้าหน้าที่สถานทูต IT สถาปนิก(ที่ต้องคุยงานกับลูกค้าเอง) ฯลฯ
N3: วิศวกร(ในบริษัทที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก) โปรแกรมเมอร์ หรืองานที่ต้องใช้สกิลการทำงานด้านอื่นที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น ร้านสะดวกซื้อ งานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหาร
N4: งานพาร์ทไทม์ที่ไม่ต้ออาศัยความสามารถในการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นมาก เช่น แม่บ้านโรงแรม แพ๊คของ ส่งของ ฯลฯ
N5: งานที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นแต่ไม่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลย ใช้ภาษาอื่นเป็นหลัก ซึ่งมีน้อยมากค่ะ
มีลูกค้ามากกว่า 30 รายต่อเดือน
หญิงชาวเวียดนามคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์โยมิอุริ (Yomiuri Shimbun) ของญี่ปุ่นว่า เธอได้ทำการปลอมแปลงใบแจ้งผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นมามากว่า 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ระดับ N1-N5 โดยรับคำสั่งซื้อผ่านทางหน้าเพจfacebook ที่เป็นภาษาเวียดนาม ซึ่งผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น (留学生) โดยผลสอบปลอมที่มียอดสั่งซื้อสูงที่สุดได้แก่ ระดับ N2 ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการจ้างงานชาวต่างชาติที่บริษัทในญี่ปุ่นหลายๆบริษัทตั้งไว้ และ ระดับ N4 ซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่านักเรียนต่างชาติที่การหางานพาร์ไทม์ทำเพื่อช่วยเหลือค่าใช้ที่จำเป็นระหว่างที่เรียนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกันค่ะ
หญิงชาวเวียดนามผู้นี้ยังได้บอกกับหนังสือพิมพ์โยมิอุริอีกว่า ฐานการผลิตใบรับรองผลสอบนี้อยู่ในประเทศจีน โดยเธอจะทำการส่งชื่อ ที่อยู่ และรูปถ่ายของลูกค้าผ่านทางไปรษณีย์ไปยังประเทศจีน โดยแต่ละออเดอร์ในเวลาประมาณ1 สัปดาห์ แหม ได้ไวมากค่ะ ผลสอบจริงต้องรอกันเป็นเดือนเลยนะคะ โดยผลสอบปลอมเหล่านี้ มีราคาอยู่ที่ 8,00-15,000 เยน ยิ่งสั่งเยอะ ราคาก็จะยิ่งถูกลง ผลการสอบนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียนต่างชาติมาก เพราะเหมือนของจริงและลูกค้าก็แนะนำกันมาปากต่อปาก ทำได้มีออเดอร์มากถึง 30 ใบต่อเดือน!!!
ยากที่จะตรวจสอบ
จากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการในการขอวีซ่านักเรียนแบบใหม่ ที่กำหนดให้ผู้สมัครต้องมีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างต่ำที่ระดับ N5 ทำให้ผู้ที่สอบไม่ผ่าน มีความต้องการผลสอบวัดระดับปลอมนี้มากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วที่กองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นเรียกดูผลสอบ ส่วนหนึ่งก็เพราะ ผลสอบแสดงถึงความตั้งใจที่จะใฝ่หาความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ที่ผ่านมามีนักเรียนเวียดนามส่วนใหญ่ ที่มาญี่ปุ่นด้วยวีซ่านักเรียนแต่ไม่ไปเรียน แอบไปทำงานกัน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของวีซ่าค่ะ อีกอย่างก็คือ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นในประเทศญี่ปุ่นของตัวนักเรียนเองด้วย
ใช่ว่าเข้าประเทศได้แล้วจะจบนะคะ ความจำเป็นของผลสอบวัดระดับนั้นจะติดตามเราเสมอ ตราบใดที่เรายังอยากทำงานในประเทศญี่ปุ่นต่อหลังเรียนจบค่ะ ซึ่งคราวนี้บริษัทต่างๆก็มักของดูผลสอบวัดระดับJLPTก่อน แต่ปัญหาคือ เค้าไม่ดูแค่ N5 แล้วสิคะ เค้าจะดูระดับ N2 ขึ้นไป ซึ่งหลักสูตรการเรียนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นทั่วไป การจะไปถึงระดับ N2 นั้น ใช้เวลาอยู่ที่ 1.5-2 ปี แต่ด้วยค่าเรียนและค่าครองชีพที่แสนแพง ทำให้นักเรียนหลายๆคนรีบๆหางานแล้วเปลี่ยนสถานะเป็นวีซ่าทำงานภายในหนึ่งปี ซึ่งต้องใช้ความขยันเป็นอย่างมาก ทำให้นักเรียนบางส่วนที่สอบไม่ผ่าน คิดสั้น หันไปพึ่งพาบริษัททำผลสอบวัดระดับปลอมเหล่านี้ค่ะ
ในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ความจริงแล้วพวกเขาสามารถเอาชื่อของผู้สมัครสอบถามไปยังองค์กรได้ค่ะ ว่าผลการสอบที่ถืออยู่เป็นของจริิงหรือของปลอม แต่ด้วยจำนวนผู้สมัครนั้นมีจำนวนมาก จึงยากที่จะตรวจสอบทุกคน และบางที่ก็ทำผลสอบปลอมออกมาได้อย่างละเอียดมากจนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า
จับกุมชาวต่างชาติผู้จัดทำใบผลสอบวัดระดับปลอม
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว ศุลกากรในสนามบินคันไซตรวจสอบพบชิ้นส่วนของผลสอบวัดระดับปลอมนี้ที่ถูกส่งมาจากประเทศจีน โดยมีชื่อของหญิงชาวสาวเวียดนามวัย 25 ปีในโอซาก้าเป็นผู้รับ ทางตำรวจจึงได้ทำการจับกุมในฐานะที่ปลอมแปลงเอกสาร
จากการสอบสวนพบกว่า หญิงสาวชาวเวียดนามรายนี้ เป็นอดีตนักเรียนต่างชาติในโรงเรียนเซมมงแห่งหนึ่ง(โรงเรียนเฉพาะทาง คล้ายๆอาชีวะบ้านเรา) เธอได้ทำการสมัครสอบระดับ N2 มาหลายครั้งแต่สอบไม่ผ่านซักที และได้ตัดสินใจสั่งใบรับรองผลการสอบปลอมนี้ผ่านทางfacebook โดยได้กล่าวอ้างว่า ผลสอบนี้มีความจำเป็นในสมัครงานกับบริษัทต่างๆในญี่ปุ่น
และในระหว่างเดือนสิงหาคม -ตุลาคม ที่ผ่านมา ตำรวจได้ทำการจับกุมตัวชาวเวียดนามทั้งหมด 6 คน หนึ่งในนั้นถือวีซ่าฝึกงานด้านเทคนิค ได้กล่าวว่า “ผมได้ยินมาว่า หากผมมีผลสอบวัดระดับ N4 ก็จะสามารถขอขยายระยะเวลาฝึกอบรมในญี่ปุ่นได้ แต่ผมสอบไม่ได้”
ทาง JEES ที่ดำเนินการจัดสอบได้กล่าวว่า “ถ้าหากมีการใช้ใบรับรองปลอมในบริษัท ความน่าเชื่อถือของการสอบก็จะลดลง ทาง JEES จะหามาตรการที่เข้มงวดกว่านี้มาใช้เพื่อป้องการการเกิดซ้ำต่อไป”
รู้หรือไม่ หางานทำในญี่ปุ่นแบบไม่ใช้ใบผลสอบวัดระดับก็มีนะ
คาดว่าผู้ที่เรียนภาษาญี่ปุ่นหลายๆคน สุดท้ายก็อยากจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นกันทั้งนั้น แต่ทุกคนโฟกัสกันทางเดียวคือต้องมีผลสอบวัดระดับก่อน ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ตอนที่หางานทำ ผู้เขียนก็สอบวัดระดับไม่ผ่านนะคะ บริษัทส่วนใหญ่ต้องการผลสอบแต่เราไม่มี เค้าก็ยังอุตส่าห์เรียกไปสัมภาษณ์งาน จนผู้เขียนตกผลึกได้ว่า สุดท้าย ก็อยู่ที่ความสามารถนั่นแหละ ว่าเรามีสิ่งใดไปนำเสนอเค้า ส่วนตัวผู้เขียน การอ่าน อ่านเขียน คะแนนไม่ค่อยดี แต่ถ้าเป็นการพูด (ไม่มีสอบ) ถนัดมากที่สุด ผู้เขียนก็นำเสนอจุดเด่นของตัวเองตรงนี้ไปแล้วได้งาน
อีกเทคนิคหนึ่งที่อยากจะบอกผู้อ่านที่อยากหางาน (ในญี่ปุ่น) แต่ไม่มีใบผลสอบวัดระดับคือ หางานในระดับเดียวกับคนญี่ปุ่นไปเลยค่ะ ไม่หางานที่เค้าเน้นรับคนต่างชาติ ตรงนี้เราจะสามารถข้ามเงื่อนไขที่เราไม่มีใบผลสอบวัดระดับได้ค่ะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าไม่สอบ JLPT กันหรอกใช่มั๊ยคะ? แต่ก็ไม่เชิงว่าไปตัวเปล่านะ ขึ้นชื่อว่าเป็นญี่ปุ่นเค้าก็ชอบดูใบประกาศความสามารถต่างๆค่ะ ผู้เขียนเลยยื่นแค่คะแนน TOEIC ไป ส่วนความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่นก็ไปวัดกันตอนทำข้อสอบ SPI (สอบตรรกะ) และการสอบสัมภาษณ์เลยค่ะ ถ้าเราได้งานก็คือเราเหมาะกับงานแหละค่ะ ในมุมมองของฝ่ายบุคคลเอง การจ้างงานคนๆหนึ่งมันมีหลายๆปัจจัยค่ะ ในหลายๆครั้ง เมื่อการสัมภาษณ์จบลง แล้วเค้าพาเราไปแนะนำให้ทุกคนในแผนกรู้จักนั่นคือผ่านการสัมภาษณ์ในระดับหนึ่งแล้วค่ะ ถ้าพนักงานทุกคนไม่มีปัญหาและโอเคกับคุณ ก็คือเตรียมปากกาเซ็นสัญญาจ้างงานได้เลย ในทางกลับกัน ถ้าเราซื้อใบสอบวัดระดับมาได้ แต่เราไม่เหมาะกับงานนั้นๆ เค้าก็ปัดคุณตกในรอบสัมภาษณ์ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นอยากให้มองว่าผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดในการสมัครงาน แต่เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น(สำคัญนะ แต่ยังไม่ใช่ที่สุด)
ตรงนี้มันต่างกันกับคนที่จ้างทำผลสอบปลอมนะคะ ต่อให้คุณมีผลสอบวัดระดับสูงๆ คะแนนดีๆ สุดท้ายถ้าไปสัมภาษณ์งาน ความสามารถคุณมันก็จะย้อนแย้งกับผลสอบอยู่ดี ยกเว้นว่าคุณจะทำได้ดีจนเค้าไม่สงสัย
สอบได้เอง กับซื้อผลสอบมา ผู้เขียนเชื่อว่าความภูมิใจมันต่างกันค่ะ ภาษาเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นได้จากใช้ และการฝึกฝน หากเราให้เวลากับมันจริงๆ แล้วทุกคนสอบผ่านได้แน่นอนค่ะ
อ้างอิงเนื้อหาจาก: Biglobe, JLPT
ผู้เขียน: A Housewife Wannabe