สวัสดีค่ะ วันนี้ทางทีมงาน ANNGLE ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณชิมิสึ โทโมฮิโกะ เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นอิซากายะสไตล์โอซาก้า ชาการิกิ 432″ ซึ่งมีสาขามากมายทั่วกรุงเทพ โดยเราได้คุยกับคุณชิมิสึถึงความเป็นมาของร้าน ชาการิกิ 432″ รวมถึงเคล็ดลับการบริหารร้านจนมีสาขามากมายในไทยและต่างประเทศ และงานนี้เราได้ถามคำถามเด็ดๆที่เพื่อนๆ ANNGLE ฝากถามคุณชิมิสึด้วย! ต้องขอบคุณที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยค่ะ!
ชาการิกิ 432″ ร้านอาหารญี่ปุ่นอิซากายะสไตล์โอซาก้า
ชาการิกิ 432″ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นอิซากายะสไตล์โอซาก้าที่มีสาขาในไทยทั้งหมด 20 สาขา (กรุงเทพ และพัทยา) และนอกจากประเทศไทยแล้วยังมีสาขาที่มาเลเซีย 1 สาขา พม่า 1 สาขา และสาขาที่ญี่ปุ่นอีก 1 สาขาค่ะ โดยความสำเร็จทั้งหมดนั้นก็มาจากคุณชิมิสึ โทโมฮิโกะ หนุ่มเจ้าของร้านสุดอารมณ์ดีที่อยู่ไทยมานานมากกว่า 5 ปี คนนี้นี่เอง!

แต่เดิมคุณชิมิสึเปิดร้านอยู่ที่ญี่ปุ่น และมีความคิดอยากมาเปิดร้านที่ไทยเพราะเคยมาเที่ยวแล้วสัมผัสได้ถึงความน่าอยู่ และรู้สึกว่าไทยมีอะไรหลายอย่างๆที่คล้ายกับโอซาก้า ไม่ว่าจะเป็นความสบายๆ ชิลๆ หรือการที่ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็ตามก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไร” แม้ตอนแรกจะรู้สึกว่า “ภาษา” เป็นอุปสรรค แต่เขาก็บอกว่าสุดท้ายก็สามารถสื่อถึงกันด้วยภาษาท่าทางทำให้ไม่ลำบากเท่าที่คิด ส่วนการบริหารสาขาในต่างประเทศ ก็มี “ภาษาอังกฤษ” เป็นสื่อกลางอยู่แล้ว ดังนั้นการสื่อสารจึงไม่ค่อยมีปัญหาสำหรับคุณชิมิสึค่ะ
คุณชิมิสึเล่าให้เราฟังว่าร้านชาการิกิ 432″ ในประเทศไทย มีพนักงานมากกว่า 500 คน โดยมีพนักงานชาวต่างชาติ (พม่า และลาวที่มีวีซ่าทำงานอย่างถูกกฎหมาย) 400 กว่าคน และพนักงานชาวไทย 80 กว่าคน และที่นี่มีความเอาใจใส่และเท่าเทียมต่างจากที่อื่นคือการให้เงินเดือนพนักงานชาวไทย และชาวต่างชาติเท่ากันไม่มีแบ่งแยก แถมยังมีโบนัสความขยันให้กับพนักงานทุกคนด้วยค่ะ
บรรยากาศในร้านจะเป็นอิซากายะสไตล์โอซาก้าจ๋า ไม่ต่างจากที่ญี่ปุ่นเลยล่ะ ตามร้านจะตกแต่งด้วยป้ายเมนูเขียนมือ รวมถึงรูปภาพตลกๆที่แสดงความอารมณ์ดีของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าบรรยากาศจะมีความเป็นญี่ปุ่นจ๋า แต่ทางร้านก็มีลูกค้าคนไทยไม่น้อย เพราะร้านชาการิกิ 432″ มีลูกค้าคนไทยมากกว่าคนญี่ปุ่นเป็นสัดส่วน 7:3 เชียวล่ะ!
ต่อจากนี้จะเป็นคำถามที่เพื่อนๆ ANNGLE ฝากถามคุณชิมิสึ เริ่มที่คำถามแรกกันเลยค่ะ
ANNGLE: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เปิดร้านอิซากายะ ชาการิกิ 432″ ที่ไทยคะ
คุณชิมิสึตอบกับเราว่า เพราะอาหารไทย และอาหารโอซาก้ามีรสเข้มข้นคล้ายๆกัน นอกจากนี้คนไทยกับคนโอซาก้ายังมีความชิลๆ คล้ายๆกัน และที่เปิดเป็นร้านอิซากายะ (ร้านสำหรับดื่มเหล้าของญี่ปุ่น) เพราะมองว่าร้านอื่นๆ เช่นร้านราเมง จะจับกลุ่มลูกค้าให้มากินตลอดไปยาก ต่างจากร้านอิซากายะ ที่มีแนวโน้มจะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากกลับมาที่ร้านอีกเรื่อยๆค่ะ
ANNGLE: คุณชิมิสึคิดอย่างไรกับการทำงานของคนไทย ที่มักจะพูดถึงในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นการมาสายบ่อยๆ หรือการการคุยกันในที่ทำงานบ้างคะ
คุณชิมิสึตอบเราว่า ถ้าตั้งใจทำงานก็ไม่มีปัญหา และด้วยบรรยากาศของร้านชาการิกิ 432″ ที่มีพนักงานชาวพม่ามากกว่าคนไทย ดังนั้นพนักงานชาวไทยจะถูกห้อมล้อมไปด้วยคนพม่าที่ขยันหาเงินส่งกลับประเทศ ทำให้พนักงานคนไทยส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นพนักงานที่ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงานค่ะ
ANNGLE: ก่อนมาไทย และหลังมาไทย ภาพลักษณ์ของคนญี่ปุ่นในสายตาคุณชิมิสึ มีการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่าคะ
คุณชิมิสึตอบกับเราว่า ถึงแม้คนไทยจะชิลไปบ้าง แต่ก็เป็นคนที่มีไฟในการทำงาน คุณชิมิสึจะค่อยๆสอนงานคนไทยโดยดูจากนิสัยคนไทยที่ชอบทำงานง่ายๆ ก่อน หลังจากนั้นก็จะให้ทำงานบริหารส่วนอื่นๆของร้านเป็นลำดับๆไปค่ะ
ANNGLE: หลังจากอยู่ไทยมา 5 ปี มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณชิมิสึ เหนื่อยและท้อบ้างไหมคะ
คุณชิมิสึบอกว่า น่าจะเป็นเหตุการณ์ความชุลมุนทางการเมือง โดยคุณชิมิสึต้องประสบพบเจอถึงสองครั้ง แถมตอนนั้นเป็นช่วงที่เปิดร้านสาขาแรก เงินก็ไม่มี ร้านก็เปิดไม่ได้ พอคิดแก้ไขปัญหาโดยขายโอนิกิริ (ข้าวปั้น) หน้าร้าน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้ไม่มีคนมาซื้อ ตอนหลังคุณชิมิสึจึงลองเปลี่ยนแผนเปิดห้องน้ำให้เข้าครั้งละ 5 บาท ก็พบว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาด (มาก)
ANNGLE: มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในไทยไหมคะ
คุณชิมิสึตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า ชอบทุกอย่าง มีส่วนที่รู้สึกขัดๆบ้าง เช่นการพัฒนาประเทศ ที่ดูพยายามพัฒนา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสียสักที เช่น การประกาศห้ามขายของตามทางเท้าที่ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้สักที แต่โดยรวมแล้วก็รู้สึกรัก และเห็นว่าเป็นสเน่ห์ของประเทศนี้ค่ะ
ANNGLE: เคล็ดลับความสำเร็จ ที่สามารถขยายสาขาของร้านให้มี 20 แห่งทั่วกรุงเทพของคุณชิมิสึคืออะไรคะ
คุณชิมิสึตอบว่า การมีลูกทีมที่ไว้ใจได้ และช่วยกันคิด ก็ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จ นอกจากนี้ในฐานะผู้บริหารก็ต้องมีความเด็ดขาด และตัดสินใจรวดเร็ว
และก่อนมาเปิดสาขาที่กรุงเทพ คุณชิมิสึเคยเปิดสาขาที่ญี่ปุ่น 6 สาขา แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึง “ยอมแพ้” กับร้านที่ญี่ปุ่น แต่ถือความ “ไม่ยอมแพ้” มาไทยเพื่อเริ่มต้นใหม่ และถ้าถามว่าขยายสาขาเร็วไปไหม คุณชิมิสึก็มองว่าไม่เร็วเพราะเป็นระดับความเร็วเท่ากับตอนขยายสาขาที่โอซาก้า แต่อาจไม่สอดคล้องกับความชิลๆของไทยเลยดูขยายสาขาเร็วนั่นเอง โดยตอนนี้ทางร้านตั้งเป้าหมายว่าใน 1 ปีจะขยายสาขาประมาณ 3-4 สาขา ส่วนเรื่องแฟรนไชส์จะคิดหลังจากขยายสาขาไปจนถึงสาขาที่ 50 นอกจากนี้ยังมีแพลนจะเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ local ด้วยค่ะ
ANNGLE: ตอนเปิดร้านแรกๆ มีใครมาช่วยงานหรือไม่คะ
คุณชิมิสึตอบว่า ตอนแรกก็เข้าครัวเอง หลังจากนั้นมีโอกาสเจอพ่อครัวคนไทยที่มาจากป้ายประกาศรับสมัครงานที่หน้า Villa Market แถวพร้อมพงษ์จึงชวนมาทำที่ร้านก็พบว่าเป็นพ่อครัวที่มีฝีมือดีมาก โดยพ่อครัวคนนั้นก็ยังทำงานอยู่กับชาการิกิ 432″ จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าโชคดีมากๆเลยล่ะค่ะ
ANNGLE: ร้านอาหารญี่ปุ่นค่อนข้างแตกต่างจากไทยพอสมควร คุณชิมิสึมีวิธีอบรมพนักงานอย่างไรคะ
คุณชิมิสึบอกว่า มีการส่งพนักงานคนไทยให้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาและมารยาทญี่ปุ่นเพื่อการทำงานโดยเฉพาะ ส่วนพนักงานคนพม่าจะมีนิสัยเรียนรู้ง่าย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรมาก นอกจากนี้ทางร้านยังถือเรื่องความ “เท่าเทียม” ให้พนักงานในร้านมีความเคาพซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศในร้านไม่มีระดับสูงต่ำจนเกินไปค่ะ
และทางร้านยังมีการสอนมารยาทพื้นฐานตามสไตล์ญี่ปุ่นให้กับพนักงานในร้านด้วย เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นได้อย่างเหมาะสม และสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ANNGLE: พนักงานคนไทยมีการย้ายออกย้ายเข้าบ่อยไหมคะ
คุณชิมิสึตอบว่า ตอนนี้ไม่ค่อยมี เพราะแถวนี้ (ทองหล่อ) มีร้านหลายร้านให้เลือกทำงาน สำหรับคนที่อยากทำงานร้านสไตล์อิซากายะก็จะมาสมัครกันที่นี่ และนอกจากนี้ทางบริษัทมีระบบ stock option คือให้พนักงานสามารถซื้อหุ้นบริษัทได้เมื่อทำงานต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 3 ปี และจะได้เงินปันผลจากเงินที่ลงทุน ทำให้ยิ่งพนักงานร้านขยันทำงานมากเท่าไหร่ก็จะได้เงินปันผลมากเท่านั้น ทำให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานและไม่ลาออกไปทำงานที่อื่น
ANNGLE: ต่อจากนี้วางแผนให้ ชาการิกิ 432″ เดินไปทางไหนคะ
คุณชิมิสึตอบว่า ปีนี้ก็ยังคงขยายสาขา แต่อาจมีการวางระบบต่างๆภายในร้านใหม่ เพื่อให้ร้านเกิดความมั่นคง และมีแพลนเจาะตลาดกลุ่ม local เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มรสและสัมผัสอาหารสไตล์โอซ้าสูตรต้นตำรับอย่างทั่วถึง
ANNGLE: สุดท้ายอยากให้คุณชิมิสึฝากข้อความถึงคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยตนเองหน่อยค่ะ
คุณชิมิสึตอบเราด้วยเสียงหัวเราะว่า เขาเองก็ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ ส่วนเด็กสมัยนี้มักจะมีความคิดที่สดใหม่ ก็อยากให้คิดไอเดียดีๆ เพื่อกิจการของตนเอง
ANNGLE: สุดท้ายของท้ายสุด มีอะไรฝากถึงประเทศไทยไหมคะ
คุณชิมิสึตอบพร้อมรอยยิ้มว่า ไทยเป็นประเทศที่ต้อนรับคนญี่ปุ่นมาก ถ้าไปประเทศอื่นคงไม่ได้รับรอยยิ้ม และการต้นรับขนาดนี้ จึงรู้สึกขอบคุณมากๆค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ถามว่าเมนูแนะนำของที่นี่คืออะไร คุณชิมิสึก็ตอบว่า เมนูที่อยากแนะนำก็เป็นเมนูขึ้นชื่อของโอซาก้าอย่าง “ทาโกะยากิ” นั่นเองค่ะ โดยทาโกะยากิร้านนี้มีความเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร เพราะลูกค้าจะมีโอกาสทำสดๆได้ด้วยมือตนเองล่ะ! ใครมีโอกาสมาร้าน ชาการิกิ 432″ ก็อย่าลืมลองสั่งทานกันดูนะ!
สาขาต่อไปของ ชาการิกิ 432″ จะเปิดที่บางนา และพัทยาอีกสาขา ดังนั้นใครอยู่แถวนั้นก็เตรียมท้องกินอาหารโอซาก้าอร่อยๆได้เลย! ส่วนใครที่ยังอ่านบทสัมภาษณ์ไม่จุใจ ก็ไม่ต้องห่วง เพราะครั้งหน้า ANNGLE จะไปสัมภาษณ์คุณชิมิสึเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการทำธุรกิจล่ะ! ใครสนใจก็อย่าลืมติดตาม ANNGLE ให้ดีนะคะ!!
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงเบอร์โทรติดต่อของร้านได้ที่ shakariki432
ขอบคุณรูปภาพเพิ่มเติมจาก: wongnai | shakariki.bangkok