จากที่ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องที่ศาลแขวงกรุงโซลตัดสินให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินชดเชยให้ “อดีตผู้หญิงปลอบขวัญ” ชาวเกาหลีใต้นั้น มาตอนนี้ เกาหลี (ใต้) ก็ยกระดับไปอีกขั้น ด้วยการจัดงานแถลงข่าวว่า เรื่องนี้จะต้องถึงศาลโลกกันเลยทีเดียว
#元従軍慰安婦 #李容洙 さんが、問題の #ICJ 付託を日韓両政府に訴え
「お金がほしいのではない。完全な(事実の)認定と謝罪を受けなければならない」
「他界した元慰安婦らに #慰安婦問題 が解決されたと報告したい」
https://t.co/kdxyBTP1tc— ParsToday日本語 (@ParstodayJ) February 16, 2021
นางอียงซู (李容洙) อายุ 92 ปี อดีต “ผู้หญิงปลอบขวัญ” จากเกาหลีใต้ ได้จัดงานแถลงข่าวที่กรุงโซลเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้เอง ใจความคือขอให้ประธานาธิบดีมุนแจอินส่งเรื่องคดี “ผู้หญิงปลอบขวัญ” ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นางอีกล่าวว่า “ฉันต้องการให้รัฐบาล (เกาหลีใต้) ทำให้เป็นที่ประจักษ์ซึ่งการก่ออาชญากรรมของญี่ปุ่น โดยอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศ”
ส่วนเรื่องที่ศาลแขวงกรุงโซลได้ตัดสินให้รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ายเงินชดเชยนั้น นางอียืนกรานว่า “ญี่ปุ่นกำลังเพิกเฉยต่อคำตัดสินดังกล่าว ทั้งยังกล่าวอ้างว่าศาลแขวงฯ ได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
ส่วนประธานาธิบดีมุนกล่าวว่าเขารู้สึก “งงงวย” กับเรื่องคำตัดสินของศาลแขวงฯ ณ เดือนมกราคม และยืนยันว่า ข้อตกลงญี่ปุ่น-เกาหลีในปี พ.ศ. 2558 นั้นเป็น “ข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาล (ของทั้งสองประเทศ)” โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีได้กล่าวว่า “เราจะรับฟังจุดยืนของเหยื่อผู้หญิงปลอบขวัญ เราจะพิจารณาประเด็นการส่งเรื่องต่อไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอย่างรอบคอบ”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 มกราคม หลังจากที่นายโมเตกิ โทชิมิตสึ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ประท้วงคำตัดสินของศาลแขวงฯ ที่สั่งให้รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ายเงินชดเชย กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีได้แถลงว่า “ได้ปรึกษากับเหยี่อแล้ว เราจะพยายามมุ่งไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติจนถึงที่สุด” แต่ในอีกด้านก็เรียกร้องให้ฝ่ายญี่ปุ่น “แสดงความพยายามอย่างจริงใจที่จะฟื้นฟูเกียรติและศักดิ์ศรีของเหยื่อ แลรักษาบาดแผลในใจ”
กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ยังยืนยันอีกครั้งในแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงญี่ปุ่น-เกาหลีเกี่ยวกับเรื่องปัญหาผู้หญิงปลอบขวัญเมื่อปลายปี พ.ศ. 2558 ซึ่งระบุว่าเป็น “วิธีแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายและไม่สามารถย้อนกลับได้” นั้น เป็น “ข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาล (ของทั้งสองประเทศ)” แต่ในอีกด้านก็ยังยืนกรานว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องของ “การละเมิดสิทธิมนุษยชนสากล” และย้ำว่า “ควรมองเสียใหม่ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ในด้านบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” แต่อย่างไรก็ยังแถลงต่อไปว่า “ในระดับรัฐบาลเราจะไม่เรียกร้องเอาเงินเพิ่มเติมใดๆ กับญี่ปุ่น” แต่ก็ยังกล่าวอีกว่า “เราไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจหน้าที่ที่จะไปกีดกันไม่ให้เหยื่อยกประเด็นขึ้นมา” และเน้นย้ำว่ากระทรวงฯ เคารพการตัดสินคดีของศาลแขวงฯ
สรุปก็คือ เรื่องที่เคยตกลงกันเมื่อห้าหกปีก่อนจะอย่างไรก็ช่าง เรื่องนี้มันคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้นต้องเอาไปฟ้องศาลโลกกกกกกก (ขำขื่น)
ล่าสุดเมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายโมเตกิ โทชิมิตสึ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้กล่าวต่อเรื่องที่ว่าเกาหลีจะไปฟ้องศาลโลกว่า “ไม่รู้ว่านางอีคิดจะทำอะไร หรือคิดอย่างไร จึงออกมาแถลงข่าวอย่างนี้ ดังนั้น ขอไม่ออกความเห็น” และก็ยังย้ำคำเดิมว่า “คำตัดสินของศาลเกาหลีนั้นละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อย่างชัดเจน” ดังนั้นจึง “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าควรจะมีการพูดถึงมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขสถานการณ์การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” และ “รัฐบาลญี่ปุ่นจะมองดูทางเลือกทั้งหมดที่มี และรับมืออย่างเด็ดเดี่ยวต่อไป”
ท่านผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่ามันจะอะไรกันนักหนากับเรื่องนี้ ไม่จบไม่สิ้นเสียที แล้วเมืองไทยไม่มีเคสแบบนี้บ้างเหรอ? ที่จริงแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจะว่ามีผู้หญิงไทยไปเป็นผู้หญิงปลอบขวัญไหม ถ้าตอบว่าไม่มีเลยคงไม่ใช่ เพียงแต่รูปแบบมันต่างกัน คือกรณีผู้หญิงไทยนั้นเขาใช้ “ซื้อบริการ” กัน มีทั้งแบบที่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างให้โดยค่ายทหาร มาให้บริการกันถึงในค่าย (เรียกว่าเป็นสวัสดิการ) หรือทหารคนไหนมีเวลาจะออกไปซื้อเองก็แล้วแต่ หรือจะไปจีบสาวไทยแถวนั้น สร้างตำนานรักโกโบริ-อังศุมาลินก็ได้ไม่ว่ากัน ฉะนั้นสำหรับไทยจึงไม่ใช่ประเด็นอะไรที่จะมาเอาเรื่องฟ้องร้องกัน (เพราะมันคือการจัดซื้อจัดจ้างไม่ได้ไปบังคับใครมา) เราก็เลยอาจจะไม่อินว่าเกาหลีจะอะไรนักหนา
แต่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่ามันเป็นเรื่องของการเมืองที่ใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือล้วนๆ เพราะความเป็นรัฐชาติเกาหลี (ใต้) ปัจจุบันเกิดมาบนพื้นฐานของการปลดแอกจากญี่ปุ่น (และการถูกทำให้แตกแยกเป็นเหนือ-ใต้เพราะสองมหาอำนาจต่างค่ายลัทธิอุดมการณ์) ฉะนั้นก็ต้องโหมประโคมเอาญี่ปุ่นเป็นศัตรู พร้อมกับพยายามสร้างอัตลักษณ์ให้คนจดจำโดยหมายแข่งดีกับญี่ปุ่น เช่นสร้างเทควันโดขึ้นมาแข่งกับคาราเต้ (แถมชิงไปโอลิมปิกได้ก่อนเพราะเกาะฝรั่งเก่ง สร้างกระแสให้ฝรั่งมาเรียนเทฯ กันเยอะๆ ได้) สร้าง K-POP เพื่อมาเบียด J-POP สร้างแบรนด์รถแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ามาตีกับแบรนด์ญี่ปุ่น บลาๆ ฉะนั้นก็คงต้องปล่อยเกาหลีเขาไป นั่นแหละครับ มาดูว่าญี่ปุ่นจะรับมืออย่างไรกันต่อไปดีกว่า
สรุปเนื้อหาจาก jiji Korea JoongAng Daily และ ศิลปวัฒนธรรม
ผู้เขียน TU KeiZai-man