ปีนี้เป็นปีแรกของการเปลี่ยนมาใช้ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยรูปแบบใหม่ในประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่เคยใช้ระบบการสอบข้อสอบกลาง เรียกในภาษาญี่ปุ่นคือ ไดงะคุ นิวชิ เซ็นเตอร์ ชิเคน (大学入試センター試験) หรือชื่อย่ออย่างเป็นทางการคือ เซ็นเตอร์ ชิเคน (センター試験) มาตั้งแต่ปี 1990 โดยนักเรียนจากทั่วประเทศญี่ปุ่นจะทำการสอบข้อสอบกลางชุดเดียวกัน ก่อนนำคะแนนสอบไปยื่นเข้าหรือยื่นขอสอบเข้าในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ
แต่ในปี 2021 นี้ ได้มีการเปลี่ยนเป็นระบบสอบกลางร่วม ที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ไดงะคุ นิวงะคุ เคียวซู เทส (大学入学共通テスト) หรือชื่อย่ออย่างเป็นทางการคือ เคียวซู เทส (共通テスト) ที่ถึงแม้จะไม่มีความแตกต่างจากการสอบระดับประเทศแบบเดิมมากนัก แต่จะให้ความสำคัญกับวิชาคณิตศาสตร์, ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษมากขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนไปกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยญี่ปุ่นในยุคโควิด
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 จนถึงขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายกรัฐมนตรี นายซูกะ โยชิฮิเดะ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในบางจังหวัด และมีการระงับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติเป็นการชั่วคราว
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นประจำปี 2021 จัดขึ้นในวันที่ 16, 17 มกราคม มีผู้มีสิทธิ์สอบ 535,245 คน ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าปีที่แล้วอยู่ 22,454 คน อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักเช่นนี้ ส่งผลให้ข้อปฏิบัติในการสอบมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ห้ามสวมหน้ากากอนามัยยี่ห้อ SHARP เข้าห้องสอบ!?
明日の大学入学共通テスト、試験中のマスクは英文字や地図がプリントされたものは着用不可だそうですから、シャープのマスクは使えません。ご注意ください。それよりなにより、困難と雑音極まる、かつてない試験に立ち向かおうとする受験生のみなさん、どうかがんばって。 pic.twitter.com/paWPHKCYem
— SHARP シャープ株式会社 (@SHARP_JP) January 15, 2021
ศูนย์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ (DNC) ประกาศเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการสอบในปี 2021 โดยห้ามไม่ให้ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสวมหน้ากากอนามัยที่มีลายพิมพ์ “แผนที่” และ “ประโยคภาษาอังกฤษ”
จากการประกาศนี้ ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นว่า ข้อห้ามดังกล่าวได้หมายรวมถึงหน้ากากอนามัยที่มีชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษติดอยู่ด้วยหรือไม่? และมีการแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียว่า “โปรดระวังการสวมหน้ากากอนามัยยี่ห้อ SHARP เข้าห้องสอบ เพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้มีกฎห้ามสวมหน้ากากอนามัยที่มีลายพิมพ์แผนที่และประโยคภาษาอังกฤษ”ซึ่งหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งยี่ห้อ SHARP จะมีโลโก้อักษรภาษาอังกฤษขนาดเล็กประทับตราอยู่ที่มุมขวาล่างของหน้ากาก
อย่างไรก็ตาม บริษัท SHARP ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่านบัญชีทวิตเตอร์ในช่วงเช้าของวันที่ 15 มกราคมว่า “เราได้รับการติดต่อจากศูนย์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ และยืนยันว่าผู้มีสิทธิ์สอบสามารถสวมหน้ากากอนามัย SHARP เข้าห้องสอบได้ ขอให้ทุกคนหายห่วง และขอให้พยายามในการสอบด้วย”
นอกจากนี้ ศูนย์การสอบฯ ยังได้ยืนยันอีกว่า หน้ากากอนามัยที่มีลายพิมพ์โลโก้อักษรภาษาอังกฤษของแบรนด์ประทับอยู่นั้นสามารถสวมเข้าห้องสอบได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้ง ยังสามารถสวมหน้ากากอนามัยแบบแฮนด์เมดได้ แต่หน้ากากจะต้องคลุมบริเวณปากและจมูกได้อย่างมิดชิด และต้องซักทำความสะอาดให้เรียบร้อย หากพบผู้ที่สวมหน้ากากผิดกฎข้อบังคับข้างต้น ศูนย์การสอบฯ ก็ได้เตรียมหน้ากากอนามัยสำรองไว้ให้ที่สนามสอบแล้ว
คะแนนสอบเป็นโมฆะ! ตัดสิทธิ์นักเรียนสวมหน้ากากจมูกโผล่
วันที่ 17 มกราคม ศูนย์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติได้ออกแถลงถึงเหตุการณ์ในสนามสอบกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 16 ว่ามีนักเรียนผู้เข้าสอบ 1 รายสวมหน้ากากอนามัยไว้ใต้คาง โดยส่วนจมูกได้อยู่ด้านนอกหน้ากาก และนักเรียนได้แสดงพฤติกรรมเพิกเฉยแม้เจ้าหน้าที่คุมสอบจะตักเตือนหลายครั้งแล้วก็ตาม จึงตัดสินให้คะแนนสอบของนักเรียนรายนี้เป็นโมฆะ
ศูนย์การสอบฯ ยังรายงานอีกว่า ผู้คุมสอบได้กล่าวตักเตือนนักเรียนคนดังกล่าวให้สวมหน้ากากอนามัยคลุมถึงจมูกในระหว่างการสอบวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และพลเมือง, วิชาภาษาญี่ปุ่น และวิชาภาษาต่างประเทศ เป็นจำนวนถึง 6 ครั้ง แม้จะเตือนแล้วว่าอาจถูกตัดสิทธิ์ทำให้คะแนนเป็นโมฆะแล้วก็ตาม แต่นักเรียนยังคงเพิกเฉยและไม่สวมหน้ากากให้คลุมจมูก จึงตัดสินว่านักเรียนมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามกฎในการสอบ
ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ มีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด โดยผู้เข้าสอบจะต้องสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้องและถูกสุขลักษณะ ในขณะที่นักเรียนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ สามารถยื่นเจตจำนงเพื่อขอเข้าสอบในห้องพิเศษโดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยได้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์การสอบฯ ได้อธิบายในกรณีของเด็กนักเรียนที่ถูกตัดสิทธิ์ว่า “แม้นักเรียนจะไม่มีอาการผิดปกติ เช่น อาการไอ ฯลฯ แต่นักเรียนผู้กระทำผิดมีเจตนาที่จะดึงหน้ากากอนามัยลง เผยให้เห็นบริเวณจมูก อย่างไรก็ตาม หากมีอาการหายใจไม่สะดวก นักเรียนสามารถดึงหน้ากากอนามัยลงเพื่อหายใจนอกหน้ากากได้เป็นบางครั้งบางคราวโดยไม่ผิดกฎข้อปฏิบัติในห้องสอบแต่อย่างใด แต่นักเรียนผู้กระทำผิดได้ถูกตักเตือนซ้ำหลายครั้งและยังเพิกเฉย จึงมีการตัดสินจากเหตุการณ์โดยรวมที่เกิดขึ้น”
แม้เราจะยังไม่รู้เลยว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะสิ้นสุดโดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ แต่มีหลายสิ่งที่มนุษย์จะต้องปรับตัวกับสถานการณ์ในปัจจุบันให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ป้องกันไม่ให้ตนเองติดเชื้อไวรัส แต่ต้องมีความเห็นอกเห็นใจในความปลอดภัยของผู้อื่นด้วย
สรุปเนื้อหาจาก : j-cast