สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตอนนี้บอกตรงๆ ผู้เขียนไม่อยากตามข่าวรายวันเลยว่าภาวะโควิดเมืองไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย โควิดมันคือภัยร้ายที่ซึ่ง “ความกลัวที่มีต่อโรค” ได้ทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ของผู้คนในครอบครัว สังคม จนอาจลามไปถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ได้ ดังที่จะมาเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ
ข่าวล่าสุดจากช่อง tv asahi เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ได้รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่าจะกำหนดให้ญี่ปุ่น เปรู ตุรกี เป็น “ประเทศที่มีการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์” และถอนชื่อประเทศญี่ปุ่นออกจาก “ประเทศที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องการกักตัวเมื่อเข้าประเทศ” (ซึ่งผู้ที่จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัวนั้นจะต้องฉีดวัคซีนครบโดสก่อน) เนื่องจากภาวะการระบาดของเชื้อโควิด “สายพันธุ์แลมป์ดา” ที่มาจากเปรู จากนี้ไป จะไม่มีการยกเว้นการกักตัวในกรณีการมาด้วยงานราชการหรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจอีกต่อไป ใครเข้ามาต้องกักตัวสองสัปดาห์กันหมดครับ
ในเกาหลีใต้เองสถานการณ์ภายในประเทศก็ยากลำบากกับประชาชนคนทำมากินไม่ต่างจากญี่ปุ่น ไทย หรือประเทศอื่นๆ ในโลก เพราะที่เกาหลีใต้ตอนนี้พันธุ์เดลต้าก็ระบาด รัฐบาลจะบังคับให้ร้านอาหารต่างๆ ปิดร้านเร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง ว่ากันว่าผู้ประกอบการร้านอาหาร ธุรกิจส่วนตัว 60% กำลังคิดว่าจะหยุดกิจการชั่วคราวหรือไม่ก็ถึงขั้นเลิกกิจการกันไปเลยก็มี
ที่ผ่านมาการขุดประเด็นเรื่องแรงงานบังคับเกณฑ์ชาวเกาหลีกับประเด็นผู้หญิงปลอบขวัญนั้น ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศแย่ลงไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว การที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้จะยิ่ง “ไปมาหากัน” ได้ยากนั้น ก็คงจะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศ “เย็นชา” ขึ้นไปอีก ฟังดูน่าเศร้านะครับ แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้โควิดทำให้โลกเข้าสู่ยุค “ตัวใครตัวมัน ประเทศใครประเทศมัน” หนักขึ้นไปอีก หากเป็นเช่นนี้ในระยะยาว ผู้เขียนเชื่อว่าแนวคิดด้านการเมือง-สังคมของประเทศต่างๆ ในโลกจะเริ่มเปลี่ยนถอยหลังกลับไป “โลกาภิวัฒน์” และ “ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด” กำลังจะถอยลง “ชาตินิยม” อาจจะกลับมาเฟื่องขึ้นก็ได้นะครับใครจะไปรู้?
สรุปเนื้อหาจาก tv-asahi
