อย่างที่บางคนทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ในปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยราบรื่นนักอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงพื้นที่ดินแดน หรือสงครามที่ทำให้เกิดผู้เสียหายทางร่างกายและจิตใจมากมาย บาดแผลนั้นใช่ว่าจะลบเลือนออกไปง่ายๆ จนกระทั่งในปี 2022 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้นี้เอง มาดูกันว่าผู้นำคนใหม่ของเกาหลีใต้จะสามารถประสานรอยร้าวที่มีมานานของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้หรือไม่
ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ต้องการสานสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา นาย ยุน ซอค-ย็อล ได้เข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ ซึ่งนายยุนมีท่าทีที่ประนีประนอมกับญี่ปุ่นเพื่อประสานประโยชน์ (มากกว่านายมุนแจอิน อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนเก่าซึ่งแอนตี้ญี่ปุ่นชัดเจน) ในพิธีสาบานตนก็มีแขกรับเชิญจากประเทศต่างๆ ถึง 40,000 คน รวมถึงนาย ฮายาชิ โยชิมาสะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นด้วย ในการนี้นายฮายาชิได้มอบสาส์นจากนายกรัฐมนตรีคิชิดะ นายกคนปัจจุบันของญี่ปุ่น ซึ่งทางรัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้ได้กล่าวย้ำว่า “เป็นกิจอันเร่งด่วนที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตที่เสียไปขึ้นมาใหม่”
จะสานสัมพันธ์ได้ไหม? ในเมื่อเหตุการณ์ในอดีตยังไม่มีข้อยุติแน่ชัด
ในปี 2020 กลุ่มนักกฎหมายสายอนุรักษ์นิยมได้รวมตัวกันยื่นฟ้องกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ ประเด็นเรื่องการขอให้เปิดเผยบันทึกการหารือระหว่างอดีตตัวแทนของ “สภายุทธศาสตร์กองอาสาสตรี” กับกระทรวงการต่างประเทศ ที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเรื่องผู้หญิงปลอบขวัญ” (慰安婦合意 Comfort Women Agreement) ซึ่งพอหลังจากมีข้อตกลงแล้ว ทางตัวแทนฯ กลับกล่าวว่า “ไม่รู้เรื่องเนื้อหาของข้อตกลงเลย” ซึ่งเรื่องนี้เขาบอกว่าต้องทวงถาม “ความรับผิดชอบ” กับรัฐบาลเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
ในปี 2021 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ “ยกเว้นส่วนที่จะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของชาติ” แต่ว่ากระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลนายมุนแจอินก็ยื่นอุทธรณ์ว่า “หากข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผย ก็เป็นที่กังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของชาติ” อย่างไรก็ดี ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า “ให้มีการเปิดเผยข้อมูล” ได้เป็นบางส่วน
เรื่องนี้ ว่ากันว่าทำให้เกิดความแคลงใจ ไม่ไว้ใจญี่ปุ่นขึ้นมาในสังคมเกาหลี
มาถึงปีนี้ ปี 2022 การที่นายฮายาชิ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ไปเยือนเกาหลีใต้ในคราวนี้ เป็นที่สนใจของสื่อเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก ถึงกับมีรายงานว่า นายฮายาชิได้กล่าวกับประธานาธิบดียุนว่า “ปัญหาแรงงานเกณฑ์ในอดีตและปัญหาอื่นๆ ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์”
อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องคดีแรงงานเกณฑ์สมัยสงครามโลกนั้น ประเด็นอยู่ที่เรื่องการที่เกาหลีใต้จะ “ยึดทรัพย์” บริษัทญี่ปุ่นซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ ซึ่งเรื่องนี้นายฮายาชิได้กล่าวว่า “จะดำเนินการให้โดยไว”
ก้าวแรกในการสานสัมพันธ์ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดียุนได้แถลงกับทางฝ่ายญี่ปุ่นว่าจะเริ่มเปิดเส้นทางการบินจากเมืองคิมโปไปยังสนามบินฮาเนดะตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นการกลับมาบินเส้นทางนี้อีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่หยุดไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 อีกทั้งเกาหลีใต้ก็จะผ่อนปรนมาตรการการเข้าเมืองสำหรับคนญี่ปุ่นที่เข้าเมืองตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นไปว่า หากมีผลตรวจ PCR หรือผลการทดสอบแอนติเจน และมีใบรับรองการฉีดวัคซีนละก็ สามารถเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้ “โดยไม่ต้องกักตัว” ซึ่งทางญี่ปุ่นก็จะผ่อนปรนมาตรการเช่นเดียวกันสำหรับชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
ดูเหมือนความสัมพันธ์จะกลับไปในทิศทางที่ดีขึ้นนะครับ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียุนนั้นได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนชนะแบบ “ฉิวเฉียด” พูดง่ายๆ คือในสังคมเกาหลีก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวของประธานาธิบดียุน (เช่นพวกสายแอนตี้ญี่ปุ่น) อยู่มาก ประธานาธิบดียุนคงต้องหาทางทำอย่างไรที่จะโน้มน้าวสังคมเกาหลีโดยรวมให้เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานจากนี้ไปก็เป็นเรื่องน่าคิด อีกทั้งเกาหลีใต้ยังต้องมีการเลือกตั้ง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” อยู่อีกในวันที่ 1 มิถุนายน การที่คนจากพรรคไหนจะได้เก้าอี้ในสภามากกว่ากัน จะเป็นฝ่ายแนวร่วมของนายยุน หรือจะเป็นพวกสายนายมุน (ที่แอนตี้ญี่ปุ่น) จุดนี้แหละครับจะเป็นตัวตัดสินว่า นโยบายนายยุนที่จะประสานประโยชน์ ฟื้นความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นนั้น จะทำได้จริงแค่ไหน ตรงนี้ก็ยังต้อง ดูกันไปยาวๆ นะครับ