ชั่วโมงนี้ “โรคโควิด” นั้นกลายเป็นโรคระบาดที่ทำลายทั้งชีวิต กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเดินทาง ท่ามกลางภาวะเช่นนี้ “การฉีดวัคซีน” ดูเหมือนจะกลายเป็น “ข้อเรียกร้อง” หรือ “ข้อบังคับ” สำหรับกิจกรรมอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการเดินทางข้ามประเทศที่เขาอยากให้มี “วัคซีนพาสปอร์ต” กัน วันนี้ลองมาดูความคิดเห็นต่อ “วัคซีนพาสปอร์ต” ของคนญี่ปุ่นดีกว่าครับ
คนญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับ “วัคซีนพาสปอร์ต”
บริษัท NEXER ได้จัดทำแบบสอบถาม Japan Trend Research เกี่ยวกับ “วัคซีนพาสปอร์ต” โดยผู้ตอบคือชายหญิง 2,000 คนทั่วประเทศ ทำการสำรวจตั้งแต่วันที่ 12-17 กันยายน โดยมีคำถามดังนี้
1) ท่านคิดว่าโควิดจะหายไป (โควิดเป็นศูนย์) ได้หรือไม่?
2) ท่านคิดว่าทำอย่างไรจึงจะ “โควิดเป็นศูนย์”?
3) ท่านคิดอย่างไรกับการผ่อนผันกฎระเบียบต่างๆ ด้วยการใช้ “วัคซีนพาสปอร์ต”?
4) ทำไมท่านจึงตอบเช่นนั้น?
ซึ่งได้ผลการสำรวจดังนี้
1) ผู้ตอบแบบสอบถาม 59.2% ตอบว่า “เราต้องอยู่กับโควิด” (คือโควิดไม่มีทางหายไป) 22.0% ตอบว่า “โควิดจะหายไปได้”

2) สำหรับคำถามที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะ “โควิดเป็นศูนย์” นั้น คำตอบส่วนใหญ่ค่อนไปทางที่ว่า “จำกัดการออกนอกบ้านที่ไม่จำเป็น” “การกักตัวคนติดเชื้อ” “การบังคับฉีดวัคซีน” “ปิดประเทศไม่ให้คนจากต่างประเทศ ไม่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา” “ควรมีบทลงโทษคนไม่สวมหน้ากาก” (อันนี้เมืองไทยเหมือนจะมีไปแล้วแต่ก็นะ)
คนญี่ปุ่นหลายคนตอบแบบนี้ คนไทยคิดว่าไงครับ? (มีเสียงแว่วๆ มาว่าไม่ออกไปทำงานนอกบ้านแล้วจะเอาอะไรกิน)
3) ผู้ตอบแบบสอบถาม 52.9% ตอบว่า “สนับสนุนการให้ใช้วัคซีนพาสปอร์ต” ซึ่งบ้างก็ให้เหตุผลทำนองว่า “ถ้ามีวัคซีนพาสปอร์ต ก็น่าจะได้รับการผ่อนผันระเบียบต่างๆ” (อารมณ์ฟังคล้ายๆ ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องสวมหน้ากากก็ได้ หรือเปล่า? เหมือนกับที่อเมริกาเคยเป็น)
ส่วนคนที่ “ไม่สนับสนุน” การให้ใช้วัคซีนพาสปอร์ตนั้น ให้เหตุผลทำนองว่า “การฉีดวัคซีนควรเป็นเรื่องที่ (จะฉีดหรือไม่ก็) แล้วแต่ความสมัครใจ หากทำแบบนี้ก็เท่ากับบังคับกัน” “วัคซีนไม่ได้มีผลในการป้องกันการติดเชื้อ และไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะรับวัคซีน” “ควรคิดว่าจะใช้หรือไม่หลังจากที่ทุกคนได้วัคซีนทั่วถึงกันแล้ว”

พูดง่ายๆ คนญี่ปุ่นเองก็มีคนที่ “ไม่เชื่อมั่นในวัคซีน” “ไม่อยากฉีดวัคซีน” (คงเหมือนกับเมืองไทยคือ กลัวฉีดแล้วจะเป็นอะไรมากไป ดังที่มีข่าวเนืองๆ ทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น) รวมถึงคนที่กลัวว่าการใช้วัคซีนพาสปอร์ตนั้นจะนำไปสู่ “การเลือกปฏิบัติ”
สรุป
มาถึงจุดนี้เราอาจพูดได้ว่าบางคนอยากได้วัคซีน อาจไม่ใช่เพราะคิดว่าวัคซีนจะช่วยอะไรได้ในการป้องกันโรค แต่คิดว่าถ้าได้ชื่อว่า “ได้รับวัคซีนแล้ว” อาจจะใช้ชีวิตในยุคโควิดนี้ได้ง่ายขึ้น (ทำมาหากินได้ เดินทางข้ามเมืองได้) ไม่ต้องอุดอู้อยู่ภายใต้ “มาตรการป้องกัน” นานับประการ
ที่ผู้เขียนเห็นๆ เลย ตอนนี้อาชีพบริการ พวกคนขับรถรับจ้าง คนทำความสะอาด การได้ชื่อว่าได้วัคซีนแล้วอาจเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตเขา (เพื่อจะได้ทำงานได้) ยังไม่นับอาชีพอื่นที่ต้องเจอคนเยอะๆ เช่นครู (ที่โดนบังคับกลายๆ ให้ต้องฉีด)
แต่แน่นอน มีคนอีกไม่น้อยที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเพราะไม่เชื่อมั่นในวัคซีน (รวมผู้เขียนด้วยคนหนึ่งละ) และยิ่งที่ผ่านมานี้ในเมืองไทย “วัคซีนไม่พอต้องรอวัคซีน” ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนรู้สึกว่า ถ้าจะมาบังคับกันแบบว่า ไม่มีวัคซีนพาสปอร์ตห้ามเข้าห้างนะ ห้ามนั่งเครื่องบินนะ ฯลฯ ก็อาจมีเคืองกันได้ว่า ฉันอยากฉีดไม่เห็นมีมาให้ฉันฉีดเลยแล้วจะมาบังคับอะไรกัน?
แต่ทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า คงเบื่อกับชีวิต new normal ห้ามโน่นห้ามนี่กันเต็มทีแล้ว ถึงไม่ห้ามด้วยความกลัวโควิดก็ไม่กล้าขยับไปทำอะไรสักอย่าง ไม่กล้านั่งกินข้าวนอกบ้าน ไม่กล้าเดินห้าง ไม่กล้าไปยิม ไม่กล้า บลาๆๆๆ
แล้วท่านผู้อ่านคิดอย่างไรครับ?
สรุปเนื้อหาจาก prtimes